หน้าแรก
ข้อมูลสุขภาพ
เว็บ สุขภาพ
ร้านอาหาร เพื่อสุขภาพ
เว็บ โรงพยาบาล
ไวรัส (ตับอักเสบบี) พ่าย เมื่อร่างกายแข็งแรง
ข้อมูลสุขภาพ
สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
เบาหวาน
โคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
ฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ
สารอาหาร
ทั่วไป
 


ตับ อักเสบบ เป็นการอักเสบของเซลล์ตับ อันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) การอักเสบจะทำให้เซลล์ตับตาย หากเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ ไวรัสตับอักเสบบีเป็นดีเอ็นเอไวรัสที่ค่อนข้างทนทาน โดยเชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด การติดต่อของไวรัสตับอักเสบบีที่สำคัญมี 3 ทาง คือ ติดต่อจากมารดาสู่ทารก, การติดต่อโดยเลือด (รวมถึงการใช้เข็มฉีดยา การสัก ฝังเข็ม หรือการเจาะหู), ทางเพศสัมพันธ์

ส่วนการรับประทานอาหารร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไม่ได้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อแต่อย่างใด

อาการของผู้ป่วย ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีอาจมาพบแพทย์ได้ 3 ระยะ คือ

 
•
ตับอักเสบเฉียบพลัน : ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตามด้วยคลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นชายโครงขวา จากตับที่โตแล้ว ปัสสาวะเข้ม ตาเหลืองในผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลัน จากไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติ พร้อมกับร่างกายที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้ และกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และน้อยกว่าร้อยละ 1 อาจเกิดอาการตับวายได้
 
•
ตับอักเสบเรื้อรัง : ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี โดยพบความผิดปกติในการทำงานของตับ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง หากมีการอักเสบและการทำลายเซลล์ตับมากๆ จะทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพลง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
 
•
ตับแข็ง : ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์จากอาการแทรกซ้อน เช่น เท้าบวม ท้องบวม อาเจียนเป็นเลือด ส่วนลักษณะอาการของผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งคือ ผอม ผิวแห้ง ผมบาง มีลักษณะขาดสารอาหารร่วมด้วย ในระยะยาวอาจกลายเป็นมะเร็งตับ

การรักษา

 
1.
ตับอักเสบเฉียบพลัน : ไม่มีการรักษาเฉพาะ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นเองอยู่แล้ว ควรพักผ่อนตามสมควร รับประทานอาหารให้เพียงพอ การดื่มน้ำหวาน ปริมาณมากๆ ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น แต่น้ำตาลที่ดื่มเข้าไปมากๆ จะเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมในตับ อาจทำให้ตับโตกว่าปกติได้
 
2.
ตับอักเสบเรื้อรัง : ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จึงสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ การรับประทานยาบำรุงตับหรือวิตามิน ไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการอักเสบของตับ หรือลดปริมาณไวรัส ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้ผลคือ การรับประทานยาลามิวูดีน (lamivudine) และการใช้อินเตอร์เฟียรอน(interferon) ซึ่งเป็นยาฉีด โดยต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือน จึงได้ประโยชน์ ซึ่งราวร้อยละ 30-40 จะทำให้การอักเสบของตับลดลง พร้อมกับปริมาณของไวรัสลดลงด้วย เนื่องจากอินเตอร์เฟียรอนมีราคาแพง และมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก การใช้จึงควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น

การป้องกัน

 
1.
ควรปฏิบัติตัวโดยการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 
2.
ควรใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
 
3.
ก่อนแต่งงานคู่สมรสควรตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
 
4.
ในการรับเลือด ควรหลีกเลี่ยงการใช้เลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
 
5.
ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ทั้งที่ทำจากเลือดและผลิตโดยกรรมวิธีพันธุวิศวกรรม ซึ่งตัวหลังได้รับความนิยมมากกว่า

ปฏิบัติตัวดี หนีไวรัสตับอักเสบบี

 
•
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกตัวจะถูกทำลายที่ตับ การใช้ยาต่างๆ จึงควรระมัดระวัง และควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่า เป็นตับอักเสบ
 
•
หมั่นตรวจสุขภาพเสมอ อย่างน้อยทุก 4-6 เดือน เพราะบางครั้งจะมีการอักเสบเกิดขึ้นได้ ในผู้ป่วยที่เป็นชายอายุมากหรือมีตับแข็งร่วมด้วย ควรติดตามเป็นระยะๆ เพื่อตรวจหามะเร็งตับระยะเริ่มต้น

อาหาร...ต้านไวรัสตับอักเสบบี

 
•
ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม สตรอว์เบอร์รี่
 
•
ปลา เพื่อให้ได้วิตามินบี 12
 
•
ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียวและผลไม้ เพื่อให้ได้โฟเลต

สิ่งที่ควรงด

 
•
ไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์ติดมันและผลิตภัณฑ์นมไขมันครบส่วน
 
•
น้ำตาลและอาหารหวานจัด
 
•
ชาและกาแฟ
 
•
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
 
•
อาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารรสเค็มจัดและอาหารหมักดอง
 
•
งดสูบบุหรี่

 

 

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 132

 
       
    แหล่งข้อมูล : www.cheewajit.com  
   
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
โรคตับอักเสบ จาก ไวรัสเอ
 
ไวรัสตับอักเสบ บี
 
เป็นโรคตับจะปฏิบัติตัวอย่างไรดี
 
ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)
 
ไทรอยด์เป็นพิษ
 
   
 
 
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved.