สายน้ำจืดและสายน้ำเค็มแห่งผืน ป่าท่าปอม จังหวัดกระบี่ ที่แม้ว่าจะเป็นน้ำคนละประเภท แต่ว่าต่างก็ไหลผสมผสาน กลมกลืนกลายเป็น คลองสองน้ำ อันสวยงามและน่าอัศจรรย์ใจ
คลองสองน้ำ เป็นคลองที่เกิดจากลักษณะพิเศษ ของระบบนิเวศ ที่ในช่วงขึ้น 12 ค่ำไปจนถึง แรม 5 ค่ำ ที่น้ำทะเลหนุนขึ้นสูง ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เรียกกันว่าน้ำใหญ่ นั้น น้ำทะเลจะหนุนสูงลึกเข้ามา ในคลองท่าปอมถึงศาลาเล่นน้ำ และผสมกับน้ำจืดในคลองท่าปอม กลายเป็นคลองน้ำกร่อย ที่มีสีฟ้าค่อนข้างขุ่น
แต่ว่าก็เป็นช่วงเวลาไม่นาน เพราะหลังจากนั้น น้ำทะเลก็จะลง และถูกแทนที่ด้วยน้ำจืดที่ใสแจ๋ว ซึ่งไม่ได้เกิดจากการที่มีคน ไปช่วยกันแกว่งสารส้มแต่อย่างใด แต่ว่าเกิดจากการที่ลำธารสายนี้ มีต้นกำเนิดจากเขาหินปูน ที่มีสารแคลเซียมคาร์บอเนต ที่มีคุณสมบัติในการจับตะกอน และสารแขวนลอยให้จมตัว
เมื่อสายน้ำไหลผ่านหินปูน เจ้าสารตัวนี้ก็จะละลายปนมา พร้อมกับจับสารแขวนลอย ไหลไปจมตัวในน้ำนิ่ง น้ำในลำคลองท่าปอมจึงใสไหลเย็น มองเห็นตัวปลา และพืชใต้น้ำได้อย่างชัดเจน แต่ว่าในน้ำจืดที่รสจืดสนิท กลับไม่เหมาะสมต่อการดื่มด้วยประการทั้งปวง เนื่องจากว่ามีหินปูน เมื่อดื่มกินเป็นประจำ นิ่วถามหาแน่นอน
เพราะฉะนั้น น้ำจืดที่คลองสองน้ำแห่งป่าท่าปอม จึงเหมาะที่จะเดินชมความงามมากกว่า เพราะยามที่สายน้ำจืด ที่ใสแจ๋วแหววต้องแสงแดด จะส่งประกายระยิบระยับราวแก้วผลึก โดยบางช่วงใต้ท้องน้ำ จะงดงามด้วยสีเขียวสดจากพืชใต้น้ำ ที่มองเห็นได้อย่างถนัดถนี่ตา ส่วนบางช่วงก็ดูเพลินตา ด้วยฝูงปลาที่แหวกว่ายทวนสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ โดยความงามของทั้งสายน้ำจืด และสายน้ำกร่อยนั้น เราๆ ท่านๆ สามารถเดินชมความงามได้ ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทาง อบต.เขาคราม สร้างขึ้นเป็นวงรอบในระยะทาง 700 เมตร ซึ่งนอกจากคลองสองน้ำแล้ว ป่าท่าปอมก็ยังมีป่าธรรมชาติถึง 3 ป่า ให้เลือกชม ในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ โดยไม่ต้องเดินลุยเข้ารกเข้าป่าแต่ประการใด
สำหรับป่าชนิดไหนมีลักษณะอย่างไรนั้น หากมาเดินในเส้นทาง ศึกษาธรรมชาติที่ป่าท่าปอม ก็น่าจะสังเกตไม่ยาก เนื่องจากว่าป่าแต่ละประเภท ต่างก็มีลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไป โดย ป่าชายเลน จะเห็นเป็นจุดแรก ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เส้นทางเดิน ศึกษาธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นรากของต้นโกงกาง ที่เป็นดังพระเอกของป่าชายเลน ขึ้นโชว์รากระโยงระยางอยู่ทั่วไป
และเมื่อเดินไปทางขวา บนสะพานประมาณ 20 เมตร ก็จะได้เห็น ป่าพรุน้ำจืด ที่เป็นป่าหาดูได้ยาก โดยป่าพรุท่าปอม มีลักษณะต่างจากป่าพรุทั่วไป คือเป็นป่าพรุบนดอน ที่น้ำไม่ท่วมขังเหมือนป่าพรุอื่นๆ แต่ว่าใครอย่าเผลอลงไปเดินในป่าพรุเข้าให้หละ เพราะดินแฉะๆ ที่ดูไม่น่าลึกไหร่ แต่ว่าหากลงไปเดิน ก็จะจมไปครึ่งค่อนตัวทีเดียว ซึ่งทางที่ดีควรเดินชมเสน่ห์ของป่าพรุ บนสะพานนั่นแหละดีที่สุด
สำหรับพืชพันธุ์ที่เด่นแห่งป่าพรุท่าปอม ก็คงจะไม่มีอะไรเกิน ตังหนใบเล็ก (วงศ์ GUTTIFERAE) ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ที่มีรากรูปร่างพิลึก คือเป็นรากที่ดูคล้ายหัวเขาที่งอพับ โผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาประมาณ 20 เซนติเมตรดูปแปลกตาน่ามอง
จากป่าพรุ เมื่อเดินผ่านบรรยากาศอันชวนมอง ก็จะเข้าสู่บรรยากาศของ ป่าดิบชื้น ที่ลักษณะของป่านี้ก็สังเกตไม่ยาก เพราะ 2 ป่าที่ผ่านมาจะเป็นป่า ที่ส่วนมากเป็นต้นไม้เล็กๆ และเป็นป่าโปร่ง แต่ว่าพอเข้าเขตป่าดิบชื้น จะสัมผัสได้ถึงต้นไม้อันร่มครึ้ม ที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่
ของดีที่ผืนป่าท่าปอมยังไม่หมดแค่นี้ เพราะที่นี่ยังมีเสน่ห์ของรากไม้ ให้ชวนมองอยู่ทั่วไปตามริมตลิ่งสองฝั่งคลอง โดยรากของต้นไม้หลายประเภท จะปรับตัวด้วยการโผล่รากขึ้นมาหายใจ ในลักษณะเลาะเลี้ยวเคี้ยวโค้งเกี่ยวกวัดรัดกันไปมา ดูสวยงามแปลกตาน่ามอง โดยรากของตนไม้ที่พบมาก ก็เห็นจะหนีไม่พ้นรากของต้นชมพู่น้ำ ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้ใช่แค่มีรากที่มีเสน่ห์ แต่ว่ายามที่ชมพู่น้ำออกดอก ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน เพราะว่าแต่ว่าดอกของชมพู่น้ำ ที่มีช่อสั้นๆมีเกสรตัวผู้สีขาวนวล ดูเล็กฝอยฟูฟ่องนั้น งามไม่เบาทีเดียว โดยเฉพาะยามที่ดอกชมพู่น้ำ ร่วงหล่นลงไปลอยในสายน้ำ ดูพลิ้วไหวนั้นน่าชมมากๆ
และพวกรากไม้ต่างๆ นี่แหละที่ถือเป็นจุดเกาะยึดอย่างดี ของคนที่ลงไปเล่นน้ำ ซึ่งทางอบต. เขาครามเปิดบางช่วง ให้นักท่องเที่ยวลงไปแหวกว่ายเล่นน้ำได้ แต่ว่าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ส่วนใครที่อยากสัมผัส กับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ แห่งป่าท่าปอม ในความรู้สึกที่แตกต่างไป จากการเดินชมบนสะพาน ก็สามารถพายเรือแคนู ชมความงามของคลองสองน้ำ และป่าท่าปอมได้
นอกจากนี้ ที่ป่าท่าปอมยังมีแก่งหิน ที่มีสีเหลืองคล้ายมัสตาร์ด ที่เป็นความมหัศจรรย์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง โดยแก่งหินเหลืองนี้ เกิดจากหินดินดานทำปฏิกิริยากับอากาศ จนเกิดเป็นโขดหินสีเหลืองทั่วไปในลำน้ำ เรียกได้ว่า ในผืนป่าท่าปอมนี่ มีธรรมชาติที่ชวนให้อัศจรรย์ใจอยู่มากหลาย
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ยกให้ป่าท่าปอม เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ จึงทำให้มีคนแวะเวียน มาเที่ยวป่าท่าปอมกันไม่ได้ขาด
รายละเอียดเกี่ยวกับป่าท่าปอม
|
ที่ตั้ง : หมู่ 2 บ้านหนองจิก ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ |
|
|
|
การเที่ยวชมป่าท่าปอม นักท่องเที่ยวห้ามนำอาหาร เครื่องดื่ม รวมถึง แชมพู สบู่ ผงซักฟอก ครีมทากันแดด เข้าไปลงเล่นน้ำ เพราะว่าจะมีผลกระทบ ต่อระบบนิเวศของป่าและสายน้ำ
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เป็นสะพานไม้เดิน เป็นวงรอบเลียบไปกับลำธาร ในระยะทาง 700 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้ ในพื้นที่ที่กำหนด โดยที่หน้าทางเข้า มีห่วงยาง ชูชีพ และเรือแคนูไว้ให้เช่า |
|
|
|
ส่วนค่าเข้าชมป่าท่าปอม คนไทย ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 30 บาท
ค่าเช่าเรือแคนู ชั่วโมงละ 100 บาท วันละ 700 บาท |
|
|
|
การเดินทาง : รถยนต์ส่วนตัว จากตัวเมืองกระบี่ ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 ทางไป อ.อ่าวลึก ประมาณ 22 กม. เมื่อถึงบ้านทุ่ง ซ้ายมือ จะมีป้ายบอกทางไป ป่าท่าปอมคลองสองน้ำ ให้เลี้ยวซ้ายไป ประมาณ 5 กม. ก็จะถึงลานจอดรถ ที่มีสวนปาล์มอยู่ขวามือ เสียค่าจอดรถ รถเก๋ง รถตู้ รถกระบะ 20 บาท รถบัส 100 บาท มอเตอร์ไซค์ จักรยาน 10 บาท |
|
|
|
สอบถามรายละเีอียดเพิ่มเติมได้ที่ อบต. เขาคราม โทร. 075-694198 และ 075-694165 |
ผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2548
|