สายตามืดมัวเพราะ...ต้อกระจก |
---|
ต้อกระจก คือ โรคของเลนส์แก้วตา ที่มีการขุ่นมัวขึ้นมา ซึ่งแต่เดิมเลนส์แก้วตาจะใส และมีหน้าที่รวมแสงที่ผ่านเข้ามา ทางด้านหน้าของลูกตา เพื่อไปรวมกันที่จอประสาทตา เมื่อเกิดต้อกระจก ความขุ่นจะไปบังแสง ที่ผ่านไปที่จอประสาทตา ทำให้ผู้ป่วยเห็นภาพมัวลง เหมือนมีหมอกมาบังตา ความสำคัญของต้อกระจก ก็คือว่า เป็นสาเหตุของตาบอด อันดับหนึ่งในประเทศไทย คือประมาณ 85% ของคนไข้ตาบอด และเป็นโรคที่สามารถผ่าตัด ให้มีการมองเห็นได้เหมือนเดิม สาเหตุ
อาการอาการเริ่มแรกของคนที่เป็นต้อกระจก จะพบว่าสายตาจะมัวลง โดยเฉพาะระยะไกล ถ้าใส่แว่นสายตาสั้น จะชัดขึ้นอยู่สักระยะหนึ่ง ก็ต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อยๆ นอกจากมีอาการตามัวแล้ว จะพบว่าอาจเห็นเป็นภาพซ้อน โดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางแดด อาการตามัว และเห็นภาพซ้อนจะมากขึ้น ถ้าอยู่ในที่ร่มหรือกลางคืน อาการตามัวจะน้อยลง อาการตามัวนี้จะค่อยมัวมากขึ้น จนกระทั่งถึงจุดจุดหนึ่ง แว่นตาก็ช่วยไม่ได้ การรักษาการรักษาต้อกระจกมีวิธีเดียว คือ การผ่าตัดลอกเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวออก แล้วใส่เลนส์เทียม ที่ใสเข้าไปแทน การผ่าตัดลอกต้อกระจก ใช้วิธีฉีดยาชา หรือหยดยาชาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ มี 2 วิธี คือ
เมื่อไหร่จึงจะผ่าตัดเนื่องจากในปัจจุบัน การลอกต้อกระจก เป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างง่าย และใช้เวลาในการรักษาไม่นาน ระยะเวลาที่ควรจะลอกต้อ จึงไม่จำเป็นต้องรอให้ต้อแก่สุกมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ระดับสายตาที่ลดลง มีผลต่อการทำงาน การดำรงชีวิตของผู้ป่วย หรือผู้ป่วยหงุดหงิด จากการที่ระดับสายตาลดลง ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน ความจำเป็น ในการใช้สายตาของผู้ป่วย ถ้ายังไม่อยากลอกต้อกระจก ก็สามารถรอไปก่อนได้ ระหว่างที่รอ ควรต้องใส่แว่นกันแดด หรือใส่แว่นสายตาสั้น เพื่อให้ระดับสายตาใช้ได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการหยอดยานั้น ยังไม่มีตัวยาใด ที่จะสามารถละลายต้อกระจกได้ สิ่งที่สำคัญในระยะนี้ก็คือ ควรไปพบจักษุแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อตรวจดูต้อว่าสุกงอมหรือไม่ ถ้าสุกจะต้องรีบลอก เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาจมีโรคต้อหินแทรก ซึ่งจะทำให้ปวดตา และประสาทตาเสีย ทำให้ผลของการผ่าตัด จะไม่ดีเท่าที่ควร
แพทย์หญิงมันธนี ไพรัชเวทย์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แหล่งข้อมูล : วารสารโรงพยาบาลรามคำแหง ฉบับที่ 9 - www.ram-hosp.co.th/books | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved. |