Myth : |
|
เชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายร่างกายของคนให้เป็นโรคเอดส์ |
Fact : |
|
เชื้อเอชไอวีหรือ Human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ทำลายภาวะภูมิคุ้มกันร่างกายให้บกพร่อง อันเป็นที่มาของโรคเอดส์เองนั่นเอง (Acquired Immune Deficiency Syndrome-AIDS)
เชื้อไวรัสเอชไอวีจะทำลายเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ หรือก่อให้เกิดโรคต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แต่เมื่อเซลล์โดนทำลายจนอ่อนแอ ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันโรคต่างๆ ลดลง เปิดโอกาสให้โรคแทรกซ้อนหรือเชื้อฉวยโอกาสเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เช่น วัณโรค โรคปอดอักเสบเรื้อรังหรือมะเร็งบางชนิด ซึ่งเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเราโดยตรง แต่เป็นเชื้อฉวยโอกาส
ที่เป็นสาเหตุ ทำให้ผู้ติดเชื้อเจ็บป่วยและเสียชีวิตลง
ทั้งนี้ เชื้อไวรัสเอชไอวีไม่ได้ทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันอย่างรวดเร็ว ดังนั้น คนติดเชื้อจึงอาจไม่รู้ตัว หรือแสดงอาการป่วยชัดเจน จนกว่าจะนานหลายปี ซึ่งลักษณะภายนอกของคนติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรง ปกติดีเหมือนคนทั่วไป แต่จะรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ตรวจเลือดหรือติดเชื้อ
ฉวยโอกาสรุนแรง อาการป่วยเรื้อรังและหนักขึ้นเรื่อยๆ |
Myth : |
|
ถ้าคนเป็นแม่ติดเชื้อเอชไอวี ลูกก็ต้องติดด้วย |
Fact : |
|
ในกรณีที่ลูกโตแล้ว แต่แม่เพิ่งรู้ตัวว่าติดเชื้อทีหลัง โดยเฉพาะโอกาสที่ลูกยังดูดนมแม่จะมีโอกาสเสี่ยงสูง เพราะการให้ลูกดูดนม แม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี นมแม่สามารถถ่ายทอด เชื้อเอชไอวีให้กันได้ แต่ในกรณีที่แม่ติดเชื้อเอชไอวีขณะตั้งครรภ์ ลูกในท้องจะมีสิทธิติดเชื้อเอชไอวี ทั้งนี้ ถ้าแม่รู้ตัวและยังตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก การรับประทานยาต้านเชื้อ สามารถลดที่ลูกจะเสี่ยงติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อเอชไอวีเลย |
Myth : |
|
แค่จูบกันก็ติดเชื้อเอชไอวีได้แล้ว |
Fact : |
|
ไม่จริง การจูบสัมผัสริมฝีปากด้านนอก (จูบแบบแห้ง) ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เอชไอวี เช่นเดียวกับการจูบแบบประกบปาก (จูบแบบเปียก) แต่ว่าถ้าจูบในขณะที่คนนั้นมีีแผลในปากหรือเหงือกอักเสบ และตนเองก็มีแผลหรือเลือดออกในช่องปากด้วย ก็มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่เคยมีรายงานว่ามีคนติดเชื้อเอชไอวีจากการจูบ |
Myth : |
|
เล่นกีฬาร่วมกันก็มีสิทธิติดเชื้อเอชไอวีได้ |
Fact : |
|
การอยู่ร่วมกันหรือเล่นกีฬาร่วมกันกับคนหมู่มาก ย่อมไม่มีวันรู้ได้ว่าคนไหนติดหรือไม่ติดเชื้อเอชไอวี การเล่นกีฬาปกติไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ยกเว้นกรณีที่ผู้เล่นคนติดเชื้อเอชไอวีหนึ่งเกิดบาดเจ็บเลือดออก และคนปฐมพยาบาลเข้าไปห้ามเลือดโดยไม่สวมถุงมือ ถ้าเกิดมีบาดแผลเปิดอยู่ด้วย หรือเอามือไปขยี้ตาที่มีเนื้อเยื่อบุอ่อน โอกาสเสี่ยงติดเชื้อก็มี ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือถ้าเกิดการบาดเจ็บเลือดตกยางออก อย่าพยายามสัมผัสแผลหรือห้ามเลือดด้วยมือเปล่า ทั้งนี้ เพื่อสุขอนามัยโดยรวมของคนที่บาดเจ็บด้วย ให้เรียกแพทย์สนามหรือเจ้าหน้าที่มาปฐมพยาบาลจนเลือดหยุดไหล และทำความสะอาดแผล ปิดปากแผลให้เรียบร้อยด้วยผ้าก๊อซจะดีที่สุด แต่ก็ยังไม่เคยมีรายงานอีกเช่นกันว่ามีคน
ติดเชื้อเอชไอวีจากกรณีแบบน |
Myth : |
|
การอยู่ร่วมกันในบ้านเดียวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั้งการหายใจรดกันห รือรับประทานอาหารร่วมกัน ทำให้เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีด้วย |
Fact : |
|
ไม่จริงเลย เชื้อเอชไอวีเป็นไวรัสที่ไวและอ่อนแอ เมื่อโดนความร้อนจากแสงแดด หรือสัมผัสกับอากาศภายนอกร่างกาย จึงไม่สามารถแพร่หรือติดต่อทางการหายใจ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จาน ชาม แก้วน้ำ หรือช้อนส้อมร่วมกัน การกอด การจับมือ การหอมแก้ม การใช้ห้องน้ำหรือโทรศัพท์สาธารณะ การว่ายน้ำร่วมสระเดียวกัน ซึ่งโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมีน้อย |
ความทรมานของผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์ อาจจะไม่ใช่อาการของโรคแทรกซ้อนอย่างเดียว แต่เป็นความเข้าใจและไม่แสดงท่าทางรังเกียจของคนรอบข้าง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อหรือแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่คนที่คุณรัก อย่าลืมใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้อง ไม่เปลี่ยนคู่นอนหลายคู่และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ ถ้าทำได้แบบนี้ก็เท่ากับป้องกันโรคเอดส์และยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์อื่นๆ ได้อีก เพราะถ้าทุกคนร่วมใจป้องกัน ก็จะสำเร็จดั่งคำขวัญขององค์การอนามัยโลกที่รณรงค์ใช้ในปี 2007-2008 ว่า Stop AIDS. Keep the Promise หรือ เอด์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา