หน้าแรก
ข้อมูลสุขภาพ
เว็บ สุขภาพ
ร้านอาหาร เพื่อสุขภาพ
เว็บ โรงพยาบาล
เรื่องน่าอาย ที่ผู้หญิงไม่อยากบอก
ข้อมูลสุขภาพ
สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
เบาหวาน
โคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
ฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ
สารอาหาร
ทั่วไป
 


ทุกคนย่อมมีความลับหรือเรื่องราวที่ปกปิดไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพทำลายความเชื่อมั่นอย่างจัง ก็อาจกลายเป็นคนอมทุกข์หรือเก็บตัวอยู่คนเดียว แบบนี้ย่อมไม่ดีแน่ต้องหาทางแก้ด่วน ซึ่ง 4 สุดยอดเรื่องน่าอายในใจหญิงที่เรารวบรวมมา ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน และสุดท้ายการผายลมและเรอบ่อย

ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือช้ำรั่ว (Overactive Bladder หรือ OAB)

มักเกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไอ จาม หัวเราะหรือยกของหนัก ทำให้ปัสสาวะเล็ดหรือซึมออกมาเปรอะเปื้อนกางกางชั้นใน พาลให้ไม่กล้าออกไปท่องเที่ยวหรือทำธุระนอกบ้าน อาการนี้เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นมากถึง 75% ในช่วงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน หรือกระบังลมทำงานไม่สัมพันธ์กันเหมือนเดิม นอกจากนี้ อาการช้ำรั่วสามารถเกิดได้กับผู้หญิงหลังคลอดบุตร มีน้ำหนักเกิน ไอเรื้อรัง และโรคเบาหวาน วิธีรับมือกับเรื่องลับๆ ของคุณนี้มีทั้งแบบง่าย คือ การออกกำลังกายกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการฝึกขมิบกล้ามเนื้อรอบๆ ช่องคลอด เหมือนกับการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ให้ไหล ให้ขมิบนานครั้งละ 10 วินาที และคลายออก ทำเป็นพักๆ ประมาณ 50-60 ครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือวิธีที่ยากหน่อยคือ การผ่าตัดทำรีแพร์ช่องคลอด (A-P repair) การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะทางหน้าท้อง ผ่าตัดโดยใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและคำวินิจฉัยของแพทย์

ส่วนวิธีป้องกันเบื้องต้นของอาการปัสสาวะเล็ดก็คือ การหลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ ที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น แต่อย่ากลัวปัสสาวะจนไม่กล้าดื่มน้ำ เพราะนั่นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายยิ่งแย่เข้าไปอีก คุณควรพยายามดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6-8 แก้ว แต่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงก่อนเข้านอน เพื่อจะไม่ต้องตื่นมาทำธุระกลางดึกรบกวนการนอน

ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์

ข้อแม้ของความลับกรณีนี้คือ คุณจำเป็นต้องบอกให้สูติ-นรีแพทย์ทราบ อย่าเก็บเป็นเรื่องน่าอายของตนเอง มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพภายในให้รุนแรงหรือเป็นมากขึ้น ภาวะตกขาวที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

จากเชื้อรา (Yeast, candida, fungus) จากตกขาวที่ปกติจะมีลักษณะเป็นมูกใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด กลับกลายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ทำให้มีกลิ่นไม่ค่อยดี อาจมีอาการคันและแสบที่ปากช่องคลอด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก

 
•
สวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดติ้ว หรือผ้าเนื้อหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดกลิ่นอับ
 
•
การรักสะอาดมากไป การใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น จะทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคืองและเกิดเชื้อราได้ง่าย
 
•
เกิดจากการลืมเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดภาวะอับชื้นเอื้อให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี
 
•
รับประทานยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น เมื่อเป็นหวัดและรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส มักจะส่งผลให้เชื้อโรคปกติที่อาศัยอยู่ใน
ช่องคลอดตายไปด้วย ทำให้ไม่มีปราการป้องกันตามธรรมชาติ สามารถติดเชื้อราได้ง่าย

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส (Trichomonas) ที่เป็นสาเหตุทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็น การติดเชื้อไวรัส หูด หงอนไก่ เริม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งอย่าเพิ่งตกอกตกใจคิดไปว่าตนเองจะเป็นได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เพราะวิธีเดียวที่จะฟันธงว่า ปัญหาน่าอายนี้เกิดจากอะไรนั้นคือ การไปพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในและนำตกขาวไปทดสอบ

กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน

เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณผู้หญิงกังวลมากที่สุด เพราะถ้ามีแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองไม่รักษาความสะอาด ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า การที่มีกลิ่นตัวหรือเหงื่อออกบริเวณรักแร้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือผิดปกติ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกาย ที่ต่อมเหงื่ออะโปรลีนบริเวณรักแร้ขับเหงื่อออกมา เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม เดิมทีเหงื่อที่ขับออกมาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เป็นเพราะเจ้าแบคทีเรียที่อยู่ตามที่อับชื้นอาศัยคราบเหงื่อเป็นอาหาร กลายเป็นกลิ่นตัวในที่สุด ปัญหานี้กลุ่มวัยรุ่นจะประสบมากหน่อย อันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่ปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปปัญหาเรื่องกลิ่นตัวก็จะลดลงไปเอง ข้อแนะนำเบื้องต้นในการลดกลิ่นตัวก็คือ

 
•
การใช้ยาลดเหงื่อ (antiperspirant) มีทั้งแบบโรลออน สเปรย์หรือแท่งสติ๊ก และยาดับกลิ่นตัว (deodorant) ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยบนผิวหนังคู่กับการดับกลิ่น
 
•
การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาด เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี เพื่อให้เหงื่อระเหยได้ง่าย และหลีกเลี่ยงเสื้อที่รัด และแนบรั้งบริเวณใต้วงแขนมากไป
 
•
หมั่นโกนขนรักแร้ เพราะขนรักแร้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตดีขึ้น ส่งผลให่มีกลิ่นตัวง่ายขึ้น
 
•
หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด อาหารที่มีกลิ่นฉุน เครื่องเทศ เช่น กระเทียม เพราะกลิ่นอาหารจะขับออกมาพร้อมเหงื่อ
ส่วนเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเหงื่อรักแร้ที่ออกมากเกิน ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะเป็นคนประเมินว่าเหงื่อคุณออกมากผิดปกติ จนต้องรักษาหรือไม่ อย่าเป็นหนูทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดจนผสมปนเปกันไปหมด อาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้

ผายลมและเรอบ่อย

เรื่องแบบนี้ถ้าธรรมชาติเรียกร้องก็อย่าฝืนจะดีกว่า (แต่ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ต้องทำให้เนียนที่สุด) การผายลมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นก๊าซที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ ในวันหนึ่งคุณสามารถตดได้ถึง 1.5 ลิตรทีเดียว! แต่คนเราจะผายลมมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น

 
•
การกลืนน้ำลาย การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวรับประทานอาหาร
 
•
ชนิดของอาหารที่รับประทาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะไม่ถูกกับอาหารชนิดใด ทำให้เกิดภาวะย่อยยาก เช่น ถั่ว นมวัว น้ำอัดลม หัวหอมใหญ่ บรอกโคลี กะหล่ำปลี ส้มโอ ลูกพรุน เนื้อสัตว์บางชนิด ซึ่งร่างกายอาจย่อยได้ไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด เรอและผายลม
 
•
มีอาการผิดปกติในระบบย่อยอาหารอยู่ก่อน เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน หรือแม้แต่ความเครียด หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ก็ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มากได้เช่นกัน ถ้าไม่อยากให้ตัวเองผายลมและเรอมากไป ก็ต้องสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ถูกกับร่างกาย งดดื่มน้ำอัดลมที่มีแก๊สมาก เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หลังรับประทานอาหารพยายามเดินย่อยก่อนสัก 5-10 นาที แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการท้องอืด จุกแน่น เรอหรือผายลมมากผิดปกติ เป็นติดต่อกันนานๆ ขอแนะนำให้พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ความลับถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายส่งผลต่อสุขภาพและบุคลิกแบบนี้ คุณควรจะแบ่งปันความทุกข์ในใจให้สมาชิกในครอบครัว หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชี้ทางออกให้นะคะ

 

 
       
    แหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday  
   
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
ตรวจก่อน รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า
 
สำรวจจุดซ่อนเร้นก่อนสายเกินแก้ ก้
 
โรคจุดซ่อนเร้นน่ารู้
 
เรื่องของตรงนั้น... ที่ชั้นใน
 
ตกขาว แบบไหนไม่ธรรมดา
 
   
 
 
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved.