หน้าแรก
ข้อมูลสุขภาพ
เว็บ สุขภาพ
ร้านอาหาร เพื่อสุขภาพ
เว็บ โรงพยาบาล
ตรวจก่อน รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า
ข้อมูลสุขภาพ
สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
เบาหวาน
โคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
ฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ
สารอาหาร
ทั่วไป
 


นอกเหนือไปจากความงามแล้วความสดใส กระปรี้กระเปร่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง คนที่จะมีบุคลิกเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่มีสุขภาพจิต และสุขภาพกายแข็งแรงดี

สุขภาพของคุณนั้นดีแค่ไหน การตรวจร่างกายจะช่วยบอกคุณได้ เพื่อให้เราได้รู้ความเป็นไป หรือสัญญาณเตือนจากภายในของเรา เพื่อที่จะสามารถดูแล ปรับปรุง หรือจัดการได้ทันท่วงทีก่อนที่โรคต่างๆ จะก่อตัวขึ้นมานั่นเอง ผู้หญิงสมัยนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า แต่ก่อน เพราะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายในเชิงป้องกัน ซึ่งการตรวจสุขภาพเบื้องต้นก็เป็นวิธีเชิงป้องกันที่ดี ที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพ และจะช่วยให้ตรวจพบโรคหรือความผิดปกติต่างๆ ก่อนที่จะมีอาการ ซึ่งระยะ ดังกล่าวการรักษาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การตรวจสุขภาพชนิดใดบ้างที่จำเป็นสำหรับผู้หญิง

การตรวจเต้านม

เต้านมเป็นส่วนสำคัญที่ผู้หญิงทุกคนหวงแหน การตรวจเต้านมทำได้หลายวิธี แต่พื้นฐานคือการตรวจด้วยมือ แม้ว่าการตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน สามารถช่วยให้ผู้หญิงตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของ เต้านมก่อน แต่การตรวจที่ดีที่สุดสำหรับมะเร็งเต้านม คือ การตรวจเต้านมทางคลินิก และการทำแมมโมแกรม โดยผู้หญิงควรตรวจมะเร็งเต้านมทางคลินิกทุกๆ 3 ปี ก่อนที่อายุครบ 40 ปี หลังจากนั้นต้องไปตรวจ แมมโมแกรม ทุกๆ ปีเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป

การตรวจแมมโมแกรม เป็นเทคโนโลยีทางการ-แพทย์ ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เพราะมีความละเอียดสูง สามารถตรวจพบมะเร็งก่อนที่จะรู้สึกว่าเป็นก้อนเนื้อได้ ล่วงหน้าถึง 2 ปี แม้ว่าแมมโมแกรมจะสามารถตรวจ พบมะเร็งได้หลายชนิด แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจผิดพลาดตรวจไม่พบได้บ้าง และ ในอีกทางหนึ่งผลที่ได้จากการตรวจแมมโมแกรม เมื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยวิธี ตัดชิ้นเนื้อ ก็อาจพบว่าผลที่ได้เป็นปกติไม่เป็นมะเร็งก็ได้

การตรวจมะเร็งปากมดลูก (Pap Test)

การตรวจมะเร็งปากมดลูก (Pap test) ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้หญิงไม่ควรพลาด เพราะมะเร็งปากมดลูกเมื่อรู้ก่อน รักษาได้เร็ว มีโอกาสหายได้สูง การตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูก จะเป็นการตรวจภายใน โดยแพทย์จะนำเซลล์จากปากมดลูก ไปตรวจหาความผิดปกติของมะเร็ง ที่ยังไม่แสดงอาการ โดย U.S. Preventive Services Task Force (USPSTF) ได้แนะนำให้ผู้หญิงทำการตรวจมะเร็ง ปากมดลูกในช่วงประมาณ 3 ปี หลังจากเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หลังจากนั้น ควรกลับไปตรวจซ้ำอีกทุกๆ 3 ปี

สำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปี ไม่จำเป็นต้องไปตรวจมะเร็งปากมดลูก เป็นประจำเหมือนวัยสาว หากผลการตรวจที่ผ่านมาปกติ และไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก ส่วนผู้หญิงที่ได้รับการตัดมดลูก และปากมดลูกออกด้วยสาเหตุ ที่ไม่เกี่ยวกับมะเร็ง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยเช่นกัน

การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีคู่นอนมากกว่า 1 คน และหนึ่งในนั้นก็มีคู่นอนอีกหลายคน เชื้อที่ตรวจพบมากที่สุด คือ chlamydia ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจส่งผลทำให้เป็นหมันได้ ส่วนเชื้อตัวอื่นที่พบบ่อยเช่นกัน ได้แก่ หนองใน (gonorrhea) ซิฟิลิส โรคเอดส์ ( HIV) เริม ( HPV) และไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)

การที่ตรวจพบได้เร็วเท่าไร ก็จะทำให้ได้รับการรักษาเร็วขึ้นเท่านั้น หรืออย่างน้อยก็ทำให้ทราบว่า ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไปอย่างไร เพราะเชื้อบางชนิดนั้น เมื่อติดแล้วก็จะเกาะกินคุณไปตลอด กระทั่งอาจพรากชีวิตคุณด้วยก็เป็นไปได้ เช่น เชื้อ HIV ต้นเหตุของโรคเอดส์ที่รู้จักกันดี หรือไวรัสตับอักเสบบี ที่อาจกลายเป็นมะเร็งตับในอนาคต สำหรับบางคนที่ไม่เคยตรวจมาก่อน แต่ได้ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ดังกล่าว แล้วตั้งครรภ์ เชื้อบางชนิดก็อาจถ่ายทอดไปสู่ลูกในครรภ์ได้เช่นกัน ซึ่งก็เป็นอันตรายต่อเด็กทารกอย่างยิ่งยวด และเรื่องสำคัญที่ควรตรวจหาโรคทางเพศสัมพันธ์ ก็เพื่อรับผิดชอบต่อสังคม คือการไม่แพร่กระจายเชื้อนั้นๆ สู่ผู้อื่นต่อไป

การตรวจเบาหวาน

ปัจจุบัน ผู้หญิงมีสถิติเป็นโรคเบาหวานกันมากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีน้ำหนักตัว เกินมาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วน หรือบางคนที่มีไขมันบริเวณหน้าท้องมาก ก็มีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนน้ำหนักตัวปกติ หรือคนที่มีไขมันบริเวณส่วนๆ อื่นมากกว่าหน้าท้อง โดยผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นเบาหวานในช่วงวัยกลางคน แต่มีแนวโน้มพบมากขึ้นในวัยรุ่น เบาหวานชนิดที่เป็น กันมากก็คือ เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้ตามปกติ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือ อายุ ความอ้วน ขาดการออกกำลังกาย และกรรมพันธุ์ พบว่ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังพบบ่อยในผู้ที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ หรือในกลุ่มอาการที่รังไข่มีถุงน้ำหลายใบ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูง มีความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง หรือเคยตรวจพบระดับกลูโคสในพลาสมาผิดปกติ

American Diabetes Association (ADA) แนะนำว่าผู้หญิงควรตรวจโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทุกๆ 3 ปีนับตั้งแต่อายุ 45 ปี ถ้าไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว หรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน เช่น มีดัชนีมวลกาย (BMI) ระหว่าง 25-29 หรือเป็นโรคอ้วน มีดัชนีมวลกาย 30 ขึ้นไป ควรไปตรวจเร็วขึ้นและถี่ขึ้น

การตรวจหาโรคหัวใจ

ทุกวันนี้ต้องยอมรับกันว่า รูปแบบการกินของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก อาหารไทยที่เคยเน้นผัก ปลา น้ำพริก มาเป็นอาหารสำเร็จรูป ฟาสต์ฟู๊ด การรับประทานอาหารไขมันสูงมากขึ้น และที่สำคัญขาด การออกกำลังกาย จึงทำให้เป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อ การเป็นโรคหัวใจ เป็นที่สังเกตว่าในผู้หญิงอาจจะไม่รู้สึก ถึงอาการเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แต่ผู้หญิงมักมีโอกาสมากกว่าผู้ชาย ที่จะมีอาการอาหารไม่ย่อย หายใจลำบาก หรือเจ็บปวดกล้ามเนื้อ แทนที่จะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างทั่วๆ ไป

USPSTF แนะนำว่าผู้หญิงอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ควรตรวจความดันโลหิตเป็นประจำ ถ้ามี ความดันโลหิตต่ำกว่า 130/80 ควรไปตรวจทุกๆ 2 ปี แต่ถ้าความดันโลหิตสูงมากกว่านั้น หรือมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ เช่น มีระดับโคเลสเตอรอลสูง หรือเป็นเบาหวานอยู่แล้ว ควรไปตรวจให้ถี่มากขึ้น

ผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป ควรตรวจระดับความดันโลหิต และระดับโคเลสเตอรอลเป็นประจำ แต่สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น เป็นเบาหวานหรือสูบบุหรี่ ควรเริ่มไปตรวจระดับโคเลส-- เตอรอลตั้งแต่อายุ 20 ปี โดย National Heart, Lung and Blood Institute แนะนำว่าผู้ที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ควรตรวจเช็คระดับโคเลสเตอรอลทุกๆ 5 ปี

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก

กระดูกของผู้หญิงมีความหนาแน่นน้อยกว่าผู้ชาย และยิ่งเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน จะยิ่งมีความเสี่ยงสูง ที่จะสูญเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) โดยผู้หญิงประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่เข้าสู่ วัยหมดประจำเดือน จะมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาวะกระดูกพรุนตลอดช่วงชีวิต

ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน ควรตรวจหาภาวะกระดูกพรุนเป็นประจำ ส่วนคนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เช่น น้ำหนักน้อย หรือไม่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน ควรปรึกษาแพทย์เป็นการเฉพาะ การทราบผลของภาวะกระดูกพรุน จะช่วยให้แพทย์ได้ทราบว่าควรดูแลคุณต่อไปอย่างไร รวมถึงผู้หญิงที่มีภาวะกระดูกพรุนเอง ก็จะได้ระมัดระวังป้องกันอุบัติเหตุ ในการใช้ชีวิตประจำวันด้วย เนื่องจากคนที่เป็นโรคกระดูกพรุน เมื่อเกิดการกระแทกหรือหกล้ม ก็อาจจะทำให้กระดูกแตกหักง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งเป็นอันตรายพอสมควรถ้าเกิดในตำแหน่งสำคัญ เช่น ข้อมือ หรือสะโพก เป็นต้น

การป้องกันโรคกระดูกพรุน ควรเริ่มตั้งแต่วัยรุ่น โดยการสะสมความหนาแน่นของกระดูก ด้วยการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง ออกกำลังกายที่มีแรงกดกระแทกอย่างสม่ำเสมอ หากเข้าสู่วัยทองแล้ว การเสริมความหนาแน่นของกระดูกคงเป็นไปไม่ได้

การตรวจไทรอยด์

American Thyroid Association แนะนำให้มีการตรวจเลือด หาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ TSH (thyroid stimulating hormone) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของไทรอยด์ โดยผู้หญิงควรตรวจหาความผิดปกติของไทรอยด์ ตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป และควรตรวจซ้ำเป็นประจำทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้ความผิดปกติของการทำงานของต่อมไทรอยด์ จะนำมาซึ่งความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย และที่สำคัญในหญิงที่ต้องการมีบุตร ก็ควรตรวจไทรอยด์ก่อนคิดตั้งครรภ์ แม้ว่าคุณจะอายุไม่ถึง 35 ปีก็ตาม เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณแม่และคุณลูกเอง

การตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่

USPSTF แนะนำว่าผู้หญิงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้ามีประวัติคนในครอบครัว เป็นมะเร็งที่เกิดจากติ่งเนื้อมากๆ ในลำไส้ หรือมีภาวะถ่ายทอดมะเร็งลำไส้ทั้งแบบไม่สัมพันธ์กับติ่งเนื้อ หรือตนเองมีประวัติเคยเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ก็ควรเริ่มตรวจลำไส้ใหญ่ให้เร็วขึ้น สามารถตรวจได้หลายวิธี เช่น การตรวจหาเลือดที่แฝงมากับอุจจาระ การส่องกล้องผ่านทางทวารหนัก (sigmoidoscopy) ที่ใช้กล้องที่ยืดหยุ่นบางๆ เข้าไปตรวจลำไส้ส่วนปลาย เพื่อหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (colonoscopy) ที่ใช้กล้องที่ยาวกว่าตรวจสอบทั้งลำไส้ เพื่อหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง การตรวจเอกซเรย์ barium enema ที่แพทย์จะเอกซเรย์ลำไส้ เพื่อหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง โดยคุณอาจปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีในการตรวจที่เหมาะกับคุณมากที่สุด

ทั้งหมดนี้ก็เป็นการตรวจพื้นฐานเพียง 8 อย่างที่สำคัญเท่านั้น ที่จำเป็นสำหรับคุณผู้หญิงในแต่ละช่วงวัย หรือ ภาวะที่ต่างกันออกไป คุณอาจจะรอตรวจพร้อมกับตรวจสุขภาพประจำปี หรืออาจจะไปรับการตรวจเป็นการเฉพาะก็ได้ ปัจจุบันในโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ก็มีแพคเก็จตรวจสุขภาพ หลากหลายแบบให้เลือกในราคาที่ต่างกันออกไป และ ส่วนใหญ่ก็จะมีการตรวจพื้นฐาน 8 อย่างนี้รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพียงเพื่อเมื่อเรารู้ตัวก่อน จะได้ทันระวังรักษาได้ก่อน และโรคต่างๆ ก็จะได้ห่างไกลคุณผู้หญิงออกไปไงคะ

 
       
    แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday  
   
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
หาหมอสูติที่ถูกใจ...ได้อย่างไร
 
ตรวจภายในไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
 
มดลูกอักเสบ
 
การปวดประจำเดือน
 
   
 
 
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved.