เอส แอล อี...โรคนี้ต้องดูแลตัวเองอย่างไร |
---|
รู้จักเอส แอล อี รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุมาลี นิมมานนิตย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า สาเหตุการเกิดโรคเอส แอล อี ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยทั้งทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มีส่วนและบทบาทร่วมกันในการก่อโรค ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน แต่พบว่าเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ เป็นโรคนี้มากกว่าเพศชายถึง 9-13 เท่า ในประเทศไทยพบได้ค่อนข้างบ่อย และมักมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการทางไตร่วมด้วย เอส แอล อี (SLE) ย่อมาจากคำว่า Systemic lupus erythematosus บางคนอาจรู้จักในคำว่า โรคลูปัส เป็นโรคในกลุ่ม ออโตอิมมูน (autoimmune disease) โรคหนึ่ง โรคออโตอิมมูน คือโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ที่โดยปกติทำหน้าที่ต่อต้าน และทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย ผ่านกลไกของเม็ดเลือดขาว แอนติบอดี การอักเสบ เป็นต้น แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ ร่างกายกลับให้ระบบภูมิคุ้มกัน ต่อต้านเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ของร่างกายตนเอง ในระบบอวัยวะต่างๆ ซึ่งต่างจากคำว่า "โรคภูมิแพ้" ซึ่งหมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีการตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมไวเกินกว่าปกติ เป็นผลให้เกิดการอักเสบขึ้น เช่น แพ้อากาศ หอบหืด เป็นต้น แต่ไม่มีการต่อต้านเนื้อเยื่อหรือเซลล์ของตนเอง อาการชวนสงสัยโรค เอส แอล อี โรคเอส แอล อี สามารถแสดงอาการได้หลายระบบ เช่น มีผื่น ผมร่วง ปวดข้อ แผลในปาก ซีดบวม ฯลฯสำหรับการวินิจฉัยโรคนี้ อาศัยเกณฑ์ของสมาคมโรคข้อแห่งสหรัฐอเมริกา (American Rheumatic Association) ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น เอส แอล อี เมื่อมีอาการหรืออาการแสดง อย่างน้อย 4 ข้อ จาก 9 ข้อต่อไปนี้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การวินิจฉัยโรค เอส แอล อี นี้มีการแสดงออกได้ในหลายระบบ แต่ละระบบอาจมีความรุนแรงน้อยมาก ไม่มีอาการ จนถึงความรุนแรงมากถึงชีวิตได้ ผลกระทบจากยารักษา SLE แม้ว่าในปัจจุบัน จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ของโรค เอส แอล อี แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วย เอส แอล อี สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เช่นเดียวกับคนทั่วไป โดยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนปกติ ยาที่นำมาใช้ในการรักษา เอส แอล อี ที่สำคัญมี 2 ชนิดได้แก่
การปฏิบัติตวของผู้ป่วย เอส แอล อี ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ไม่แพ้การใช้ยา ได้แก่ การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ซึ่งมีความจำเป็น เพราะโรคนี้เป็นเรื้อรัง และยังไม่มียาที่ใช้รักษาได้หายขาดจริงๆ การรักษาต่อเนื่อง และติดตามการรักษาสม่ำเสมอ จึงมีความสำคัญยิ่งยวด และต้องปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง ดังนี้
โรคเอส แอล อี ถ้าไม่รักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี จะทำให้ไตอักเสบ ไตวาย เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือติดเชื้อรุนแรงในกระแสเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต ดังนั้น ถ้าสังเกตเห็นความผิดปรกติดังข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ค่ะ
นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 182 |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แหล่งข้อมูล : www.cheewajit.com | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved. |