อุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้จากการสำรวจทั่วโลก และการสำรวจในประเทศไทยเอง พบว่า เพิ่มขึ้น 34 เท่า ภายในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา
ในประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ โดยเฉลี่ยดังนี้ คือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ร้อยละ 25-40 โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหืด ร้อยละ 10-15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหาร ร้อยละ 5 โดยอุบัติการณ์ในเด็กจะสูงกว่าในผู้ใหญ่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกแรกเกิดนั้น ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เด็กทารกจึงมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่ายกว่าวัยอื่น
โรคภูมิแพ้นั้นถ้าไม่ได้รับการรักษา จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นแย่กว่าคนปกติ เช่น ไม่สามารถนอนหลับได้ เรียนและทำงานได้ไม่เต็มที่ หากเกิดในเด็ก จะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย หงุดหงิด ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ตามวัยได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางพัฒนาการ การเรียนรู้และการเจริญเติบโต นอกจากนั้น อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หูชั้นกลางอักเสบ นอนกรน ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผิวหนังติดเชื้อ ฯลฯ
กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุสำคัญ
มีการศึกษาพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ ร้อยละ 20-30 ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ต่างชนิดกัน จะมีผลให้ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ ร้อยละ 40-50 แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดเดียวกัน จะมีผลให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง ร้อยละ 60-80 ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลย มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียง ร้อยละ 10-15 เท่านั้น แต่เนื่องจากในปัจจุบัน ยังไม่สามารถแก้ไขปัจจัยทางกรรมพันธุ์ได้ การควบคุมสิ่งแวดล้อม และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตลอดจนการกินอาหารที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ในลูกได้ นอกจากนั้น การป้องกันโรคภูมิแพ้ของลูก สามารถทำได้ตั้งแต่เวลาที่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เลยครับ คุณแม่ตั้งครรภ์รวมถึงในระยะเวลาที่ให้นมลูก ควรได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและสมดุล นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ปราศจากฝุ่น และควันบุหรี่
กินให้เหมาะสม ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้
เนื่องจากโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่ สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม และมีการศึกษาที่แสดงว่า สิ่งแวดล้อมและอาหาร เป็นปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญของการเกิดโรคภูมิแพ้ ดังนั้น สำหรับเด็กที่เกิดในครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ (ซึ่งเป็นเด็กที่มีความเสี่ยงสูง) คุณพ่อคุณแม่จึงควรกำจัด และหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และสารระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ให้กับลูกตั้งแต่แรก รวมทั้งการให้เด็กดื่มนมแม่ จะสามารถป้องกันไม่ให้เด็กเหล่านี้ เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มักเกิดร่วมกันหลายชนิด เช่น เด็กที่เป็นผื่นแพ้บริเวณผิวหนัง อาจพบว่ามีการแพ้อาหารร่วมด้วย ดังนั้นการจัดให้ลูกกินอาหารที่เหมาะสม จะสามารถลดอัตราการแพ้อาหารได้ การดื่มนมแม่ หรือนมสูตรพิเศษที่มีการสลายโปรตีน ที่ทำให้เกิดการแพ้ เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคภูมิแพ้ นอกจากนี้ การดื่มนมที่ผสมจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น แลคโตบาซิลลัส และบิฟิโดแบคทีเรียม ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน และลดอัตราการเกิดผื่นแพ้ผิวหนังได้
เด็กที่มีประวัติครอบครัวที่เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมและกินอาหาร ที่มีโปรตีนซึ่งก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย โดยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
|
|
ควรให้ลูกดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน แต่ไม่ต้องจำกัดอาหารเป็นพิเศษ สำหรับมารดาช่วงระยะตั้งครรภ์และให้นมบุตร |
|
|
กรณีที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ ควรเลี้ยงลูกด้วยนมสูตรพิเศษ จนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี |
|
|
ไม่ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมวัว และหลีกเลี่ยงการกินอาหาร ที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบ จนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี |
|
|
ไม่แนะนำให้ดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ นมแกะ ทั้งนี้ เนื่องจากมีโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ เช่นเดียวกับการแพ้นมวัว |
|
|
ควรให้อาหารเสริมเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน โดยแนะนำให้เด็กกินอาหารเสริมทีละชนิด และสังเกตว่ามีการแพ้อาหารที่ให้หรือไม่ ภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะให้อาหารเสริมชนิดใหม่ อาหารเสริมที่ทำให้เกิดอาการแพ้น้อย ได้แก่ ข้าวบด กล้วยน้ำว้า ฟักทอง น้ำต้มหมู น้ำต้มไก่ ผักใบเขียว |
|
|
ควรหลีกเลี่ยงการกินไข่ และอาหารที่มีไข่เป็นส่วนประกอบ จนกระทั่งเด็กมีอายุ 2 ปี |
|
|
ควรหลีกเลี่ยงการกินถั่วและปลา จนกระทั่งเด็กมีอายุ 3 ปี |
สำหรับเด็กที่ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ ควรดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน แต่ไม่จำเป็นต้องงดอาหารบางอย่างที่แพ้ง่าย (เช่น ไข่ ถั่ว ปลา) อาจเพิ่มสารอาหารอื่นๆ ที่อาจเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ ได้แก่ สังกะสี วิตามินเอ ซิลีเนียม และนิวคลีโอไทด์ นอกจากนั้น การกินอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิด เช่น docosahexaenoic acid (DHA) ในปริมาณที่เหมาะสม อาจช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้
สิ่งแวดล้อมดีก็ช่วยป้องกันภูมิแพ้ได้
นอกจากการให้เด็กได้กินอาหารที่เหมาะสมแล้ว ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง เชื้อรา แมลงสาบ ตั้งแต่ขวบปีแรก โดย
|
|
ใช้เครื่องเรือนน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอน |
|
|
งดใช้พรมปูพื้น ไม่ใช้เก้าอี้นอนหรือเครื่องเรือนที่บุด้วยผ้า ไม่ใช้ที่นอนหรือหมอนที่ทำด้วยนุ่น หรือขนสัตว์ ควรใช้ชนิดที่ทำด้วยใยสังเคราะห์หรือฟองน้ำ ควรคลุมที่นอน และหมอนด้วยผ้าพลาสติก หรือผ้าไวนิล หรือผ้าหุ้มกันไรฝุ่น |
|
|
ไม่สะสมหนังสือหรือของเล่นที่มีขน |
|
|
ซักผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มทุก 1-2 สัปดาห์ โดยใช้น้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง |
|
|
ดูดฝุ่น เช็ดถูทำความสะอาดพื้นและเครื่องเรือน เพื่อขจัดฝุ่นละอองเป็นประจำ |
|
|
ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขน เช่น สุนัข แมว ภายในบ้าน |
|
|
พยายามอย่าให้เกิดความชื้น หรือมีบริเวณอับทึบภายในบ้าน เพื่อป้องกันเชื้อราไม่ควรนำต้นไม้ ดอกไม้สดหรือแห้งไว้ในบ้าน |
|
|
จัดเก็บขยะและเศษอาหารให้มิดชิด เพื่อป้องกันและกำจัดแมลงสาบ |
การปฏิบัติตัวตามที่กล่าวมา และระวังไม่ให้เด็กได้รับควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย ควันไฟ ฝุ่นละอองจากแหล่งต่างๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ จะช่วยให้สามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินหายใจได้ครับ
ผศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจมูกและภูมิแพ้
|