ความแก่เป็นความทุกข์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ คนส่วนมากกลัวความแก่ไม่มากก็น้อย คนบางคนกลัวมากบางคนกลัวน้อย
บางคนกลัวหน้าแก่ บางคนกลัวเซ็กส์แก่ แต่ที่ทุกคนกลัวเหมือนกันคือสมองแก่ สมองเสื่อม เนื่องจากสมองเป็นที่อยู่ของจิตใจ ซึ่งสามารถทำให้เกิดความรู้สึกสุขทุกข์ได้มาก เมื่อมีอาการสมองแก่ เช่นขี้หลงขี้ลืม ทำเงินหาย ทำบัตรเอทีเอ็มหายบ่อยๆ ทำให้เกิดความทุกข์ใจมาก หลายคนจึงต้องดิ้นรนเสาะแสวงหาทางป้องกันความแก่ทุกวิถีทาง
ในสมัยก่อนคนเราเที่ยวเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะ เสียเงินเสียทอง เสียค่าโง่กันไปมากมาย โดยหลงเชื่อคำเล่าลือปากต่อปาก เช่น แนะให้กินสมองสัตว์ โสมเกาหลี แปะก๊วย มีเมียสาว ฯลฯ แต่ปัจจุบันนี้การแพทย์สมัยใหม่มีข้อมูลความเข้าใจ ในเรื่องสมองเสื่อมมากขึ้น ทำให้การชะลอภาวะสมองเสื่อมดีขึ้นบ้าง
เอาแค่สิ่งพื้นๆ ที่มีอยู่ตามบ้านเรา เช่น กาแฟซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีกินกันมานานนม มีการศึกษาวิจัยเรื่องการกินกาแฟกันมามาก ทุกวันนี้สามารถบอกได้ว่าคาเฟอีนในกาแฟ สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของสมองหรือเพิ่มไอคิวของคนกินได้ การดื่มกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้แจ่มใสทำงานดีขึ้น เคยมีการทดลองที่อินสบรูคโดยใช้อาสาสมัคร 15 คน เขาให้อาสาสมัครกินกาเฟอีน 100 มก. (เท่ากับคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ 2 แก้ว) แล้วทดลองความจำ ในเวลาต่อมาใช้อาสาสมัครกลุ่มเดียวกันทดลองให้กินยาหลอกเปรียบเทียบกัน ผลปรากฎว่าคนที่กินคาเฟอีนมีความจำระยะสั้นดีกว่าคนที่กินยาหลอกอย่างชัดเจน และเมื่อเขาใช้เครื่องตรวจสแกนสมองที่เรียกว่า Functional MRIS
เขาพบว่าสมองบริเวณ anterior cingular cortex และสมองส่วนหน้า frontal lobe ทำงานมากขึ้นจากผลของคาเฟอีน สรุปได้ว่าการดื่มกาแฟทำให้การทำงานของสมองในระยะสั้นดีขึ้น แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปซึ่งจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้
การเข้าสมาธิหรือกรรมฐานช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้ไหม คำถามนี้เป็นคำถามที่ถูกถามมานาน แต่เพิ่งจะมีคำตอบออกมาเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นที่รู้กันแล้วว่าการฝึกกรรมฐานทำให้ใจสงบ มีสมาธิ ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น จากการวิจัยในประเทศอุตสาหกรรมพบว่า
ทำให้ผลผลิตของพนักงานในบริษัท ในโรงงานดีขึ้น การลาป่วยขาดงานของพนักงานน้อยลง จนบริษัทใหญ่ๆ เช่น บริษัทรถยนต์ฟอร์ด และบริษัทใหญ่ๆ อีกหลายแห่งที่สหรัฐฯ รับเอาการฝึกกรรมฐานไปใช้กับพนักงานมากขึ้น ทุกวันนี้ชาวตะวันตกสนใจวิชากรรมฐานมากขึ้น จึงมีการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาโดยการตรวจสแกนสมองอาสาสมัคร 20 คน ที่ทำกรรมฐานเป็นประจำวันละ 40 นาที เขาพบว่าสมองส่วนเปลือกนอก (Cortex) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์สมองมากมีขนาดหนาขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้ทำกรรมฐาน อันนี้เป็นหลักฐานพิสูจน์ทางกายภาพที่ชัดเจนว่าการฝึกกรรมฐานมีผลดี สามารถต้านความเสื่อมของสมองได้ คนที่ต้องการลดความเสื่อมของสมองจึงควรฝึกหัดทำกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิปัสสนากรรมฐานของพระพุทธเจ้า ซึ่งรู้กันมานานแล้วว่ามีผลดีต่อจิตใจ และเราเพิ่งรู้กันตอนนี้ว่ามีผลดีต่อกายภาพของสมองด้วย
อาหารสมองเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมานาน มีการเอาสารเสริม-อาหารมาขายกันมาก บางอย่างเขาก็อ้างว่าทำให้สมองดีขึ้น ความจำดีขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจน ระยะหลังนี้มีข้อมูลจากการวิจัยมากขึ้น หมอแอนดรู วีล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ทางเลือก เขียนแนะนำเรื่องอาหารสมองไว้หลายอย่าง เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา ขมิ้น ผักผลไม้ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม คาโรตีนอยด์
กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acid) ที่อยู่ในน้ำมันปลามีคุณสมบัติบำรุงสมองได้ ทั้งนี้เพราะสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์สมอง ถ้าขาดไปจะทำให้เซลล์สมองอ่อนแอ
เป็นโรคได้ง่าย อาหารของชนชาติญี่ปุ่น และเมดิเตอเรเนียน ทำให้คนของเขาอายุยืนล้วนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 มาก เนื่องจากมีเนื้อปลาอยู่มาก ผู้รู้จึงแนะนำให้กินเนื้อปลาบำรุงสมองมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น คนที่ไม่ถนัดกินเนื้อปลาก็อาจจะใช้น้ำมันปลาที่ทำขายเป็นเม็ด (แต่ไม่ใช่น้ำมันตับปลาที่เหม็นคาว อย่างที่เด็กสมัยผมเคยถูกบังคับให้กิน) เช่น Krill Oil ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสสระและไม่เหม็นคาว เขาใช้สารตัวนี้รักษาโรคซึมเศร้า สมาธิสั้น ออทิซึม สำหรับนักมังสวิรัติ อาจจะหากรดไขมันโอเมก้า 3 กินในถั่ววอลนัท เม็ดแฟล็กซ์ ปอ หรือ สาหร่ายทะเล
ขมิ้นที่เราเอามาทำเครื่องแกงมีสาร Curcumin ต้านการอักเสบ ช่วยลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลโซเมอร์ได้ มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตไว้ว่าคนอินเดียมีอัตราการเกิดโรคอัลโซเมอร์ต่ำที่สุดในโลก อาจเป็นเพราะคนอินเดียมีการใช้ขมิ้นทำเครื่องแกงกินกันมากนั่นเอง
หมอวีลแนะนำว่าควรกินผักผลไม้ให้มากเข้าไว้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านสารพิษ ที่ทำให้เกิดมะเร็งและทำลายสมอง
วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม และคาโรทีนอยด์ ถ้ากินเสริมอาหารเข้าไปอาจช่วยป้องกันความเสื่อมของสมองได้ แต่ในบรรดาสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หมอแอนดรู วีล กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุนแข็งขันเท่ากับเนื้อปลาและน้ำมันปลา
ตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีไทยสมัยต้มยำกุ้งถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์นี้ มีคนรู้จักกันมาก ใครๆ ก็กลัวโรคนี้จนมีคำถามว่าโรคนี้ป้องกันได้หรือไม่ คำตอบคือป้องกันได้บางส่วน คือชะลอมันลงไปได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันหรือชะลอโรคอัลไซเมอร์นี้คือ การรักษาสุขภาพของระบบหลอดเลือด และหัวใจให้อยู่ในสภาพดี โดยการออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว เต้นแอโรบิค ว่ายน้ำ เต้นรำ หรือที่ดีที่สุดคือ ทำหลายกิจกรรมอย่างว่า แบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป จะช่วยรักษาสมองของเราได้ดีกว่าอย่างอื่น (และทำให้บาดเจ็บจากการออกกำลังกายน้อยลง) นอกจากนี้ควรเลิกสูบบุหรี่ กินอาหารไขมันต่ำ ถ้าเป็นโรคเบาหวาน
ต้องใส่ใจควบคุมรักษาให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับดี กินผักผลไม้ให้เพียงพอ กินปลา และน้ำมันปลา (ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) ทุกอย่างที่ว่ามานี้ร่วมช่วยกัน รักษาให้หลอดเลือดทั่วร่างกาย รวมทั้งของสมองด้วยไม่ให้ตีบตัน สามารถนำออกซิเจนไปต้านความเสื่อมได้ดี
เมื่อไม่นานมานี้พบว่าการออกกำลังกายนอกจากจะมีผลดีต่อหลอดเลือด หัวใจ และสมองแล้ว ยังกระตุ้นให้มีการผลิตสารเร่งการเสริมสร้าง (Growth Factor) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ประสาทมีสุขภาพดีด้วย
การฝึกสมองทดลองปัญญาเป็นประจำก็สามารถช่วยรักษาคุณภาพของสมองเอาไว้ได้ดี เช่น การเรียนภาษาใหม่ๆ ฝึกทดสอบความจำ ทำข้อสอบไอคิว ฯลฯ จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการใช้สมองอ่านหนังสือ แก้ปริศนาอักษรไขว้ เล่นหมากรุก เล่นดนตรี สามารถลดการเกิดสมองเสื่อมได้ดีกว่าการอยู่เฉยๆ และพบว่ายิ่งทำมากยิ่งมีผลดีมาก เช่น คนแก้ปริศนาอักษรไขว้อาทิตย์ละ 4 ครั้ง สมองเสื่อมน้อยกว่าคนแก้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถึง 47%
จากข้อมูลของผู้รู้เท่าที่กล่าวมานี้ ก็สามารถช่วยให้เรารักษาประคับประคองสมองอันเป็นที่รักของเรา ให้อยู่ยั้งยืนยงไปได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำตั้งแต่บัดนี้เลย ไม่ว่าท่านจะยังหนุ่มยังสาวซิงๆ แค่ไหนก็ตาม
|