|
|
พบแพทย์และตรวจเลือดตามนัด ขอย้ำว่า ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงเล็กน้อย (140-200มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร) ก็อาจไม่มีอาการผิดปกติให้รู้สึกได้ อาจทำให้คนไข้ชะล่าใจ ปล่อยตัว จนอาจเกิดโรคแทรกซ้อน ในระยะยาวได้ หากเป็นไปได้ ควรตรวจดูระดับน้ำตาลในเลือด ทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ |
|
|
|
|
|
กินยาลดน้ำตาล หรือฉีดอินซูลิน ตามขนาดที่แพทย์สั่ง อย่าลดยา หรือปรับยาตามความรู้สึก หรือการคาดเดา ของตัวเองเป็นอันขาด ควรใช้ยาและกินอาหารให้เป็นเวลา (ตรงเวลาทุกมื้อ) ปริมาณอาหารให้พอๆ กันทุกวัน |
|
|
|
|
|
ควรควบคุมอาหารการกินอย่างเคร่งครัด โดยมีหลักง่ายๆ ดังนี้ |
|
|
|
|
|
กินอาหารวันละ 3 มื้อ กินให้ตรงเวลา ไม่งดมื้อใดมื้อหนึ่ง กินในปริมาณใกล้เคียงกัน ทุกวันทุกมื้อ
|
|
2. |
|
อย่ากินจุบจิบ ไม่เป็นเวลา |
|
|
|
ในแต่ละมื้อ ให้กินอาหารที่มีทั้งแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน และผัก |
|
|
|
ห้ามกินน้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน ขนมเชื่อมน้ำตาล นมหวาน (ให้ดื่มนมจืดแทน) ผลไม้ที่มีรสหวานจัด (เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย ลิ้นจี่ องุ่น ละมุด อ้อย) ผลไม้กระป๋อง ผลไม้แช่อิ่ม
หรือเชื่อมน้ำตาล |
|
|
|
ถ้าชอบหวาน ให้ใช้น้ำตาลเทียมแทน |
|
6. |
|
ห้ามดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ ยาดองเหล้า เครื่องดื่มบำรุงกำลัง |
|
7. |
|
หลีกเลี่ยงการกิน เครื่องในสัตว์ ไขมันสัตว์ น้ำมันหมู เนย มันหมู มันไก่ เนื้อติดมัน หมูสามชั้น ครีมกะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง หอยนางรม อาหารทอด (เช่น ไก่ทอด กล้วยแขก ปาท่องโก๋ มันทอด ข้าวเกรียบ) |
|
8. |
|
หลีกเลี่ยง อาหารรสเค็มจัด และอาหารสำเร็จรูป (เช่น ไส้กรอก กุนเชียง) |
|
9. |
|
กินอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ถั่ว ขนมปัง ในจำนวนพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป |
|
10. |
|
กินผักให้มากๆ (ปริมาณไม่จำกัด) โดยเฉพาะผัก ประเภทใบและถั่วสด เช่น ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักบุ้ง ผักกะเฉด มะระ มะเขือยาว ถั่วงอก ถั่วแขก ถั่วฝักยาว ฯลฯ |
|
11. |
|
กินผลไม้ที่มีรสหวานไม่มาก ได้มื้อละ 6-8 คำ เช่น ส้ม มังคุด มะม่วง มะละกอ พุทรา ฝรั่ง สับปะรด |
|
|
|
|
|
|
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำงานออกแรงกายให้มาก ควรทำในปริมาณพอๆ กันทุกวัน อย่าหักโหม ทั้งการควบคุมอาหาร และการออกกำลัง ควรให้เกิดความพอเหมาะ ที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าอ้วนเกินแสดงว่า ยังปฏิบัติ ทั้ง 2 เรื่องนี้
ไม่ได้เต็มที่ |
|
|
|
|
|
พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริง อย่าให้เครียด หรือวิตกกังวล |
|
|
|
|
|
ควรเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่างๆ |
|
|
|
|
|
หมั่นดูแลรักษาเท้า ดังนี้ |
|
|
|
|
|
ทำความสะอาดเท้า และดูแลผิวหนังทุกวัน เวลาอาบน้ำ ควรล้างและฟอกสบู่ ตามซอกนิ้วเท้า และส่วนต่างๆ ของเท้าอย่างทั่วถึง หลังล้างเท้าเรียบร้อยแล้ว ซับทุกส่วน โดยเฉพาะบริเวณซอก\นิ้วเท้า
ให้แห้งด้วยผ้าขนหนู ระวังอย่าเช็ดแรงเกินไป เพราะผิวหนังอาจถลอกเป็นแผลได้
|
|
|
|
|
|
2. |
|
ถ้าผิวหนังที่เท้าแห้งเกินไป ควรใช้ครีมทาผิวทาบางๆ โดยเว้นบริเวณ ซอกนิ้วเท้า และรอบเล็บเท้า |
|
|
|
|
|
|
|
ตรวจเท้าอย่างละเอียดทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า ฝ่าเท้าบริเวณที่เป็นจุดรับน้ำหนัก และรอบเล็บเท้า เพื่อดูว่ามีรอยช้ำ บาดแผล หรือการอักเสบหรือไม่ หากมีแผลที่เท้า ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที |
|
|
|
|
|
|
|
การตัดเล็บ ควรตัดด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดเล็บขบ ซึ่งอาจลุกลาม และเป็นสาเหตุ ของการถูกตัดขาได้
- ควรตัดเล็บในแนวตรงๆ และอย่าให้สั้นชิดผิวหนังจนเกินไป
- ไม่ควรใช้วัตถุแข็งแคะซอกเล็บ
- การตัดเล็บ ควรทำหลังล้างเท้า หรืออาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บจะอ่อนและตัดง่าย
ถ้าสายตามองเห็นไม่ชัด ควรให้ผู้อื่นตัดเล็บให้ |
|
|
|
|
|
|
|
ป้องกันการบาดเจ็บและเกิดแผล โดยการสวมรองเท้าทุกครั้ง ที่ออกจากบ้าน (อย่าเดินเท้าเปล่า) ควรเลือกรองเท้า ที่สวมพอดี ไม่หลวม ไม่บีบรัด พื้นนุ่ม มีการระบายอากาศ และความชื้นได้ ควรสวมถุงเท้าด้วยเสมอ โดยเลือกสวมถุงเท้าที่สะอาด ไม่รัดแน่น และเปลี่ยนทุกวัน ก่อนสวมรองเท้า ควรตรวจดูว่า มีวัตถุมีคมตกอยู่ในรองเท้าหรือไม่ สำหรับรองเท้าคู่ใหม่ ในระยะเริ่มแรก ควรใส่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้รองเท้าค่อยๆ ขยายปรับตัวเข้ากับเท้าได้ดี |
|
|
|
|
|
6. |
|
หลีกเลี่ยงการตัด ดึง หรือแกะหนังแข็งๆ หรือตาปลาที่ฝ่าเท้า และไม่ควรซื้อยา กัดลอกตาปลามาใช้เอง |
|
|
|
|
|
7. |
|
ถ้ารู้สึกว่าเท้าชา ห้ามวางขวด หรือกระเป๋าน้ำร้อน หรือประคบด้วยของร้อนใดๆ จะทำให้เกิดแผลไหม้พองขึ้นได้ และไม่ช่วยให้อาการชาดีขึ้นแต่อย่างใด |
|
|
|
|
|
8. |
|
ถ้ามีตุ่มหนอง มีบาดแผล หรือการอักเสบที่เท้า ควรรีบไปหาแพทย์รักษา อย่าใช้เข็มบ่งเอง หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ชะแผล ควรล้างแผล ด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ และปิดแผล ด้วยผ้ากอซที่ปลอดเชื้อ และติดด้วยพลาสเตอร์อย่างนิ่ม (เช่น ไมโครพอร์) อย่าปิดด้วยพลาสเตอร์ธรรมดา |
|
|
|
|
|
|
ผู้ที่กินยา หรือฉีดยารักษาเบาหวาน อยู่ประจำทุกวัน ถ้าหากมีอาการหิว ใจหวิว ใจสั่น หน้ามืดตาลาย
ตัวเย็น อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรรีบกินน้ำตาล หรือของหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่กินอาหารน้อย หรือกินผิดเวลา ทำงานหรือออกกำลังกาย หักโหมกว่าปกติ |
|
|
|
|
|
หมั่นตรวจน้ำตาล ในปัสสาวะด้วยตนเอง ช่วยให้รู้ได้คร่าวๆ ว่า ควบคุมเบาหวานได้ดีเพียงไร ควรปรึกษาแพทย์ ถึงเทคนิคการตรวจ และความถี่ของการตรวจ การสังเกตจากอาการเพียงอย่างเดียว
บอกไม่ได้ว่า ควบคุมโรคได้หรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ ควรซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีเทคนิคการตรวจอย่างง่ายๆ ไว้ตรวจเองที่บ้านทุกวัน จะช่วยให้สามารถ ประเมินผลการรักษา และปรับอาหาร ให้สอดคล้อง กับระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น |
|
|
|
|
|
ควรพกบัตรประจำตัว ที่ระบุถึงโรคที่เป็น และยาที่ใช้รักษา หากระหว่างเดินทางไปไหนมาไหน
ประสบอุบัติเหตุ หรือเป็นลมหมดสติ แพทย์จะได้ให้การช่วยเหลือ ที่ถูกต้อง และทันท่วงที |