หน้าแรก
ข้อมูลสุขภาพ
เว็บ สุขภาพ
ร้านอาหาร เพื่อสุขภาพ
เว็บ โรงพยาบาล
เมื่อกระเพาะเป็นแผล
ข้อมูลสุขภาพ
สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
เบาหวาน
โคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
ฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ
สารอาหาร
ทั่วไป
 


เวลาเราหกล้มหัวเข่าถลอกเป็นแผล สามารถรักษาได้ด้วยการใส่ยาสมานแผล ไม่กี่วันก็หายดี แต่นั่นเป็นบาดแผลภายนอก แล้วถ้าอวัยวะภายในเราเกิดเป็นแผลขึ้นมาล่ะ ควรจะทำอย่างไรดี?

บาดแผลภายในที่พบได้บ่อยมากเห็นจะได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะ ทำให้เกิดอาการปวดท้องที่หลายๆ คนอาจมีประสบการณ์มาบ้าง หรือมีแนวโน้มจะเป็นในอนาคต โดยเฉพาะในภาวะการณ์เครียดๆ อย่างในช่วงนี้ ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดูกันว่าจะรับมือกับเจ้าโรคนี้กันได้อย่างไร

กระเพาะอาหาร เป็นส่วนที่เชื่อมติดต่อกับหลอดอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น กล่าวคือ อาหารที่เรากินเข้าไป จะผ่านไปทางหลอดอาหารเข้าไปสู่กระเพาะอาหาร เพื่อทำการย่อย แล้วจึงค่อยผ่านไปทางลำไส้เล็ก เพื่อการดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้วนำไปใช้เลี้ยงร่างกาย จากนั้นกากอาหารที่ผ่านกระบวนการดูดซึมแล้ว จะเคลื่อนตัวไปยังลำไส้ใหญ่ เพื่อผ่านไปยังทวารหนักแล้วขับออกจากร่างกายต่อไป เมื่อพูดถึงแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นคำที่เรียกกันทั่วๆ ไปจนติดปาก ความหมายจึงมักคาบเกี่ยวระหว่าง แผลที่กระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer) กับแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal Ulcer) ก็เป็นได้

แผลในกระเพาะอาหารที่ว่านี้ บางคนอาจยังนึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ต้องขอบอกว่าไม่เหมือนกับบาดแผลถลอกตามผิวหนังภายนอก ที่เมื่อแห้งแล้วจะเกิดสะเก็ดแผลสีดำๆ แน่ แต่ให้นึกถึงเวลาที่เราเกิดแผลในปาก หรือตามกระพุ้งแก้มดูก็แล้วกัน ซึ่งนี่จะเป็นรอยแผลเล็กๆ ขนาด 5-25 มิลลิเมตร ที่เกิดบนผนังของกระเพาะ มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ก่อนมักมีความเชื่อกันว่าแผลในกระเพาะนี้ มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงระดับความเครียด หรือวิตกกังวลที่มากเกินไป หรือเป็นผลของการกินอาหารเผ็ดจัดๆ แต่ปัจจุบันพบว่า การเกิดแผลในกระเพาะนั้น มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของกรดในกระเพาะ (ที่ใช้ย่อยอาหาร) กับสารที่ทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อของร่างกาย จากกรดเหล่านี้ต่างหาก

แผลในกระเพาะเกิดได้อย่างไร?

ในสถานะสมดุล

ในกระเพาะอาหารของคนเรา จะมีการสร้างกรดและเอนไซม์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า เปปซิน (Pepsin) เพื่อใช้สำหรับย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป กรดนี้จะมีฤทธิ์รุนแรงในการกัดกร่อนfย่อยสลายอินทรียสารต่างๆ ดังนั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้กรดนี้ ไปย่อยเนื้อเยื่อของร่างกายเสียเอง ตลอดผนังทางเดินอาหารส่วนบนของร่างกาย จึงเคลือบไว้ด้วยเกราะป้องกันที่สร้างจากเมือกและโปรตีน ความสมดุลระหว่างปริมาณของกรดในกระเพาะ กับปริมาณของเมือกบุผนังทางเดินอาหารนี้ จะช่วยรักษาทางเดินอาหารให้มีสุขภาพที่ดี
เมื่อเกิดความไม่สมดุล ก็เป็นที่มาของแผลในกระเพาะอาหาร

หากกรดในกระเพาะอาหารเกิดหลั่งออกมามากเกินไป หรือเมือกที่บุผนังทางเดินอาหารมีปริมาณไม่มากเพียงพอ ก็มีโอกาสที่กรดและเอนไซม์เปปซินจะไปกัดกร่อน ทำลายเนื้อเยื่อชั้นในของผนังทางเดินอาหาร ทำให้เกิดแผลได้ ตำแหน่งที่เกิดแผลมักอยู่ในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer) หรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal Ulcer)

อะไรทำให้เกิดความไม่สมดุล?

มีหลายปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดความไม่สมดุลกัน ระหว่างกรดในกระเพาะอาหาร กับเมือกที่บุผนังทางเดินอาหาร จนอาจนำมาสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่

 
•
การใช้ยาต้านอักเสบ (NSAIDs) ยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยารักษาอาการปวดข้อชนิดต่างๆ
 
•
การสูบบุหรี่ ซึ่งมีผลไปเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะ และยับยั้งการสร้างเมือกบุผนังทางเดินอาหาร
 
•
การดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ (รวมทั้งกาแฟชนิดดีคาเฟอีน (decaffeinated coffee) หรือโคล่า (มีคาเฟอีนผสมเหมือนกัน) อาจทำให้อาการแย่ลง
 
•
ปัจจัยทางพันธุกรรม หากใครมีประวัติคนในครอบครัว เคยเป็นแผลในกระเพาะอาหารมาก่อน ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นได้มากกว่าคนอื่นๆ

ติดเชื้อ! อีกสาเหตุของแผลในกระเพาะ

นอกจากความไม่สมดุลในกระเพาะอาหาร จะเป็นสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารแล้ว การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H.pylori) ก็เป็นอีกสาเหตุของการเกิดแผลนี้ด้วยเช่นกัน

โดยปกติเชื้อโรคทั่วไป จะไม่สามารถทนภาวะกรดในกระเพาะอาหารได้ แต่ H.pylori เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถปรับตัว จนอาศัยในอยู่ภาวะกรดอย่างแรงได้ จึงเจริญเติบโตอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร และเป็นสาเหตุของการอักเสบ และแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น และในระยะยาวยังเป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่ง ของมะเร็งในกระเพาะอาหาร

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นแผลในกระเพาะอาหาร คืออาการดังต่อไปนี้

 
•
ปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่เวลาท้องว่าง หรือจุก เสียด แน่นท้อง หรือปวดคล้ายกับเวลาหิวข้าว ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากกินอาหารไปแล้วประมาณ 1-3 ชั่วโมง หรือปวดกลางดึก
 
•
เวลาได้กินอาหารมักจะหายปวด หรือไม่ก็อาจจะปวดยิ่งขึ้น
 
•
รู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียน
 
•
รู้สึกท้องอืด มีลมในท้อง เหมือนอาหารย่อยได้ไม่ดี
 
•
มีอุจจาระเป็นสีคล้ำดำ หรือมีเลือดปน (ในกรณีที่แผลมีเลือดออกร่วมด้วย)
 
•
แต่บางกรณีผู้ที่เป็นก็อาจไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือมีอาการเลยจนกว่าจะเกิดมีเลือดออก

ในคนที่เกิดอาการดังกล่าว ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็คในแน่ใจว่า อาการที่เป็นนั้น เกิดจากเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือเกิดจากเหตุอื่น ซึ่งแพทย์อาจสอบถามประวัติหรือทดสอบบางอย่าง เพื่อจะได้วินิจฉัย และหาวิธีรักษาที่เหมาะสมได้ถูกกับโรคได้ เช่น ประวัติการสูบบุหรี่ การได้รับยาบางอย่าง โรคอื่นๆ ที่เป็นร่วมด้วย หรือมีคนในครอบครัวเคยเป็นแผลในกระเพาะมาก่อนหรือไม่ ในกรณีที่มีอาการยังไม่มาก แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาเบื้องต้น เช่น การใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน เพื่อทดลองรักษาเบื้องต้นว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่ ก่อนที่จะตรวจในระดับลึกขึ้น

สำหรับคนที่รักษาเบื้องต้นแล้วยังไม่ได้ผล หรือมีอาการเรื้อรังมานานๆ ในบางกรณีแพทย์อาจจำเป็นต้องสั่งตรวจพิเศษ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ เช่น

 
•
การตรวจเอกซเรย์โดยให้กลืนแบเรียม เพื่อการระบุตำแหน่งของแผลในกระเพาะอาหาร
 
•
การตรวจโดยการส่องกล้อง (Endoscopic Exam) เพื่อดูลักษณะแผลที่อยู่ในกระเพาะอาหาร หรือทำการห้ามเลือด กรณีเลือดออกมาก รวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ เพื่อดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
 
•
การตรวจอื่นๆ เช่น ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H.pylori)

เมื่อทราบสมุฏฐานของโรคแล้ว แพทย์จะเลือกรักษาด้วยยาที่เหมาะสม ซึ่งยาที่ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารมีหลายอย่าง บางอย่างเป็นยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะ บางอย่างเป็นยาที่ใช้เคลือบผนังกระเพาะอาหาร และปรับสภาพกรดให้เป็นกลางมากขึ้น ยาปฏิชีวนะบางอย่างมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ซึ่งรวมๆ แล้วก็จะช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้

รักษาแผลในกระเพาะอย่างไรให้ได้ผล ?

เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรคที่เป็น และช่วยทำให้การรักษามีประสิทธิภาพเต็มที่ ล้วนขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยมีข้อเตือนใจที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่

 
•
อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหาร มักจะหายไปก่อนที่แผลจะหายสนิท ดังนั้นคุณไม่ควรหยุดกินยา ก่อนที่แพทย์จะสั่งให้หยุด
 
•
แผลในกระเพาะอาหารอาจกลับมาเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้บ่อยๆ คุณอาจจำเป็นต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าแผลเก่าจะหายสนิทแล้ว และป้องกันไม่ให้เกิดแผลใหม่ขึ้นมา
 
•
ระหว่างรับการรักษานี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดในกลุ่มแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาต้านอักเสบอื่นๆ เพราะล้วนมีฤทธิ์ระคายเคือง ต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะยิ่งทำให้เป็นแผลมากขึ้น
 
•
เมื่อเจ็บป่วยหรือต้องได้รับยาอย่างอื่น ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบด้วยว่า กำลังเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารอยู่ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงตัวยา ที่มีผลระคายเคืองกระเพาะ

นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น

 
•
หยุดสูบบุหรี่ เพราะนอกจากจะทำให้ทางเดินอาหาร อยู่ในสภาพไม่สมดุลแล้ว สารในบุหรี่ยังระคายเคือง ต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นด้วย ซึ่งจะมีผลให้แผลหายช้าลงมาก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่แผลนั้นเสียเอง คนที่ยังสูบบุหรี่ มักมีแนวโน้มเกิดแผลในกระเพาะซ้ำแล้วซ้ำอีก
 
•
กินยาให้ตรงตามแพทย์สั่ง เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างกรด และเมือกที่บุผนังทางเดินอาหาร ควรกินยาให้หมด หรือจนกว่าแพทย์จะสั่งให้หยุด แม้จะหายปวดท้องหรือไม่มีอาการปรากฏแล้วก็ตาม
 
•
อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียด แม้ว่าความเครียดจะไม่ได้มีผลโดยตรง ต่อการเกิดแผลในกระเพาะ แต่ก็มักจะมีผลรบกวนการบรรเทาของแผล และมักจะทำให้อาการแย่ลงได้มาก วิธีบรรเทาความเครียดหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อาจทำได้โดยการหันไปออกกำลังกาย หรือการหยุดพักงานที่ทำอยู่สักพัก และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
 
•
กินอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายให้ครบหมู่ สมัยก่อนคนที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร มักจะถูกสั่งให้เปลี่ยนมากินอาหารที่มีรสจืดๆ เป็นหลักไว้ก่อน แต่ปัจจุบันมีการพบว่าอาหารส่วนมาก แม้แต่อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนก็ตาม มีผลน้อยมากต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่อย่างไรก็ตาม อาหารบางอย่างก็อาจทำให้คุณรู้สึกแย่ลง ดังนั้นจึงควรเลี่ยงจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำอัดลม โซดา เป็นต้น

ล้อมกรอบ

ในกรณีที่คุณไม่ได้รักษาตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น ไม่กินยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ หรือมีอาการกลับมาเป็นใหม่หรือแย่ยิ่งกว่าเดิม มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกไม่หยุด แผลทะลุ อาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้ไม่ได้จากการอุดตัน หรือเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ในที่สุดแล้ว อาจถึงขั้นจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าละเลย ถ้ามีอาการรุนแรงเกิดขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เป็นต้นว่า

 
•
มีอาการอาเจียนบ่อยครั้ง หรืออาเจียนเป็นเลือด หรือลิ่มเลือด
 
•
อุจจาระเป็นสีคล้ำ ดำ หรือมีเลือดปน
 
•
มีอาการอ่อนแรง หรือเวียนศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ (เป็นสัญญาณของการเสียเลือดอย่างช้าๆ ต่อเนื่อง)
 
•
ปวดท้องมากอย่างฉับพลัน
 
•
น้ำหนักลดอย่างต่อเนื่อง
 
•
ยังคงรู้สึกปวดต่อเนื่องแม้จะกินยารักษาแล้วก็ตาม
 
•
รู้สึกอิ่มตื้อหลังจากกินอาหารไปได้เพียงไม่กี่คำ

 

 
       
    แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday  
   
ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
 
โรคกระเพาะอาหาร
 
เครียดลงกระเพาะ โรคฮิตของคนออฟฟิต
 
วิธีธรรมชาติแก้อาการอาหารไม่ย่อย
 
อาหารเพื่อสุขภาพกระเพาะอาหาร
 
สูตรธรรมชาติเยียวยากระเพาะอาหารอักเสบ
 
   
 
 
Copyright © 2007 - 2009 by yourhealthyguide.com All rights reserved.