| 
      | 
          
                
         เมื่อพูดถึงโปแตสเซียมในคนปกติทั่วไป คงจะไม่ต้องกังวลกันมากนักว่าจะขาดหรือได้รับโปแตสเซียมมากเกินไป เพราะโปแตสเซียมจะไม่ได้ถูกนำมาเติมในอาหารชนิดต่างๆ เหมือนกับโซเดียม ซึ่งเติมในรูปสารต่างๆ เช่น เกลือแกง (โซเดียมคลอไรค์) ผูงชูรส (โมโนโซเดียมกลูกาเมต - Monosodiumglutamate, MSG) ผงฟู (โซเดียมไบคาร์บอเนต) เมื่อได้รับมากเกินไปก็จะเป็นภัยต่อสุขภาพได้  
   
  โปแตสเซียมเป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย และมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกายเราหลายอย่าง โปแตสเซียมมีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูงและต่ำ ส่วนโซเดียมมีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูงอย่างเด่นชัด โดยจะทำให้ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นมากขึ้น นำมาซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือด  
   
  โซเดียมกับโปแตสเซียมเป็นคู่ต่างที่ต้องอยู่ด้วยกันเสมอเพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย ใช่แล้วค่ะ ถ้าคุณเคยสังเกตจะเห็นโปแตสเซียมและโซเดียมอยู่ด้วยกันในผงเกลือแร่ ORS ที่ใช้ชงดื่มเวลาท้องเสีย อาเจียน โดยโปแตสเซียมจะอยู่ในรูปโปแตสเซียมคลอไรค์ โซเดียมอยู่ในรูปโซเดียมคลอไรค์ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งคู่เป็นสาร electrolyte หรือเกลือแร่ที่ช่วยในการรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย โปแตสเซียมในรูปเกลือโปแตสเซียมยังช่วยรักษาความเป็นกรดด่างโดยทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ (ผ่อนความเป็นกรดเป็นด่าง) ภายในร่างกาย นอกจากนี้โปแตสเซียมมีความสำคัญในการส่งกระแสประสาท และการหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยทำงานร่วมกับแคลเซียมและโซเดียม มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำหน้าที่ในการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรตโดยช่วยในการเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกลโคเจน เพื่อสะสมคาร์โบไฮเดรตไว้ที่เซลล์ อ่านถึงตรงนี้แล้วคุณคงอยากจะรู้ว่าแล้วจะกินอะไรดีจึงจะได้โปแตสเซียม...  
   
  กินอาหารอะไรจึงจะได้โปแตสเซียม  
   
  เมื่อนึกถึงอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง ส่วนใหญ่จะนึกถึงกล้วยแต่เมื่อคิดต่อพลังงาน (แคลอรี) ที่ได้รับ กล้วยจะให้ปริมาณโปแตสเซียมน้อยกว่า เมื่อเทียบกับแคลตาลูป แต่ที่กล้วยได้รับเครดิตมากเพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่กินง่าย ไม่ต้องปอกให้ยุ่งยากเหมือนผลไม้อื่น สะดวกในการหาซื้อ  
   
  แล้วเราต้องการโปแตสเซียมมากน้อยแค่ไหน  
   
  ในสภาวะการณ์ปกติผู้ใหญ่ที่ร่างกายสมบูรณ์จะสามารถรักษาสมดุลโปแตสเซียมในร่างกายได้ โดยปกติทั่วไปเราจะไม่ค่อยขาดโปแตสเซียม เพราะโปแตสเซียมมีกระจายอยู่ในอาหารเกือบทุกชนิด กลุ่มอาหารที่มีมาก คือ ผลไม้ ผัก รองลงมา คือ นม เนื้อสัตว์ และกลุ่มที่มีบ้าง คือ ข้าว ธัญพืช ร่างกายสามารถดูดซึมโปแตสเซียมไปใช้ประโยชน์ได้ดีถึง 90% ของโปแตสเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป ในแต่ละวัยต้องได้รับโปแตสเซียมเท่าไรดูได้จากตารางนี้  
      
        
          อายุ   | 
            | 
          ความต้องการโปแตสเซียม  
        ( มิลลิกรัม/วัน)   | 
         
        
          ทารก   | 
            | 
              | 
         
        
          3-5 เดือน   | 
            | 
          350-925   | 
         
        
          6-11 เดือน   | 
            | 
          425-1,275   | 
         
        
          เด็ก   | 
            | 
              | 
         
        
          1-3 ปี   | 
            | 
          550-1,650   | 
         
        
          4-6 ปี   | 
            | 
          775-2,325   | 
         
        
          7-9 ปี   | 
            | 
          1,000-3,000   | 
         
        
          วัยรุ่น   | 
            | 
              | 
         
        
          10-19 ปี   | 
            | 
          1,505-4,575   | 
         
        
          ผู้ใหญ่   | 
            | 
              | 
         
        
          20+ ปี   | 
            | 
          1,950-5,900   | 
         
       
                ปริมาณโปแตสเซียมที่ร่างกายต้องการ  
         
  จะเห็นว่าในคนผู้ใหญ่แม้ว่าร่างกายจะต้องการโปแตสเซียมมาก แต่โปแตสเซียมก็มีอยู่ในอาหารมากมายหลายประเภทที่เรากินกันในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังดูดซึมไปใช้ได้ดี จึงเป็นไปได้น้อยมากที่ร่างกายจะขาดโปแตสเซียม  
   
  ภาวะการขาดโปแตสเซียม  
   
  ปริมาณโปแตสเซียมในร่างกายสามารถวัดได้จากการตรวจเลือด แต่ก็มีคนบางกลุ่มซึ่งมีน้อยมากที่ขาดโปแตสเซียมได้ ซึ่งต้องมีสาเหตุมาจากการสูญเสียจากสภาวะบางอย่าง เช่น การสูญเสียน้ำจากร่างกาย อาเจียนหรือท้องร่วง เป็นระยะเวลานาน หรือการใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ เช่น ยาขับปัสสาวะ สเตียรอยด์ ยาระบาย ทำให้ระดับโปแตสเซียมในเลือดต่ำกว่ามาตรฐาน (Hypokalemia) โดยจะมีอาการอ่อนเพลีย การทำงานของกล้ามเนื้อเสื่อม กล้ามเนื้อไม่มีแรง นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุมาจากโรคบางชนิดที่เกี่ยวกับต่อมหมวกไต การเพิ่มปริมาณโปแตสเซียมคือเลือกกินอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง และหากจำเป็นจริงๆ ด้วยสาเหตุของโรคภัยที่ทำให้ระดับโปแตสเซียมต่ำ แพทย์ก็อาจให้คุณเสริมโปแตสเซียมซึ่งมีทั้งรูปแบบน้ำและแบบเม็ด  
   
  ภาวะการเป็นพิษจากการได้รับโปแตสเซียมมากเกินไป  
   
  ในทางตรงกันข้ามถ้าได้รับโปแตสเซียมมากเกินไปก็จะเกิดภาวะการเป็นพิษขึ้นได้ เช่น ในทารก หรือผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ทำให้เกิดระคายเคืองกับระบบทางเดินอาหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีสมรรถภาพของไตทำงานได้ไม่ดีจะมีผลทำให้เกิดโปแตสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) เพราะไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ ปริมาณโปแตสเซียมสูงในร่างกายจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ จึงต้องลดอาหารที่มีปริมาณโปแตสเซียมสูงลง และรักษาที่โรคต้นเหตุ  
   
  จะเห็นว่าแม้โปแตสเซียมจะเป็นสารอาหารที่พูดถึงกันน้อย เพราะเป็นสารอาหารที่ร่างกายได้รับง่าย และสามารถรักษาสมดุลได้เป็นอย่างดี แต่ในกลุ่มโรคบางชนิดที่มีความเกี่ยวพันกับระดับโปแตสเซียมแล้ว ถ้าขาดความสมดุลขึ้นมาก็ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายได้เช่นกัน  
       | 
      |