|       
        
         ในปัจจุบันพบว่า   การป่วยด้วยโรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมาก   ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจจนมีบางคน กล่าวว่า การเป็นโรคเบาหวาน   เป็นเสมือนหนึ่งว่า ได้มีโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยแล้ว 
         
ท่านอาจมีเพื่อน   ญาติ คนรู้จักในสังคม ที่จากไปอย่างกะทันหัน เนื่องมาจากโรคหัวใจ หลายๆ   คนจากไปในวัยที่ยังทำงาน ทำประโยชน์ ให้ครอบครัวและสังคม   จากสถิติจากกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตสูงสุด 3 อันดับแรก   ในคนไทย คือ อุบัติเหตุ มะเร็ง และโรคหัวใจ เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาหลายปี   โรคหัวใจขาดเลือดจากหลอดเลือดหัวใจตีบและตัน เป็นโรคที่เคยพบน้อยในอดีต  
            กลับกลายเป็นโรคที่พบบ่อยมากในปัจจุบัน ทั้งๆ   ที่พันธุกรรมในคนไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลง นั่นแสดงให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อม   โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันสูงเป้นปัจจัยสำคัญมากในการส่งเสริมมให้เกิดโรคนี้ 
             
      
      หัวใจเป็นอวัยวะที่มีความมหัศจรรย์   เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต   นับว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญ และแข็งแรงมาก   หัวใจจะทำงานได้เป็นปกติต้องอาศัยการทำงานที่เป็นระบบของไฟฟ้าหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ   และลิ้นหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจก็เช่นเดียวกันกับกล้ามเนื้ออื่นๆ ที่ต้องการออกซิเจน   และอาหารจากเลือดมาหล่อเลี้ยงเพื่อให้บีบตัวต่อไปได้   หลอดเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ประกอบด้วยหลอดเลือดแดง 2 เส้น เรียกว่า   โคโรนารี่ด้านขวา 1 เส้น และด้านซ้าย 1 เส้น ซึ่งจะแตกแขนงออกเป็น 2 เส้นใหญ่   นอกจากนั้น แล้วแต่ละเส้น ยังส่งแขนงย่อยๆ ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอีกด้วย   ดังนั้นหากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเหล่านี้เกิดการตีบ หรืออุดตัน ก็จะนำไปสู่   โรคหัวใจขาดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ไม่ดี กล้ามเนื้อหัวใจตาย   ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือเสียชีวิตกะทันหัน  
            
            ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด 
             
        
        หลอดเลือดหัวใจก็เป้นอวัยวะหนึ่งที่เกิดการเสื่อมไปตามอายุอย่างไรก็ตาม   นอกจากอายุแล้ว   ยังมีปัจจัยอีกหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้เร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น   ปัจจัยเหล่านี้เรียกว่า ปัจจัยเสี่ยง พบว่ายิ่งมีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ   โอกาสเสี่ยงที่สำคัญต่อโรคหัวใจขาดเลือดจะยิ่งมากขึ้นหลายเท่า   ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่  
            
              
                |   | 
                  | 
                อายุ | 
               
              
                |   | 
                  | 
                เพศชาย   ทั้งนี้เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด   แต่เมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือน ไม่ว่าโดยธรรมชาติ หรือไม่มีรังไข่   ก็ทำให้โอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดสูงขึ้นใกล้เคียงกับเพศชาย | 
               
              
                |   | 
                  | 
                ประวัติในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ รวมทั้งพันธุกรรม | 
               
              
                |   | 
                  | 
                การสูบบุหรี่ | 
               
              
                |   | 
                  | 
                ความดันโลหิตสูง | 
               
              
                |   | 
                  | 
                 เบาหวาน  | 
               
              
                |   | 
                  | 
                ไขมันโคเลสเตอรอล ชนิดร้าย (แอล-ดี-แอล)   ต่ำ | 
               
              
                |   | 
                  | 
                โรคอ้วน ซึ่งมักจะทำให้เกิดเบาหวาน ความดันโลหิตสูง   รวมทั้งไขมันโคเลสเตอรอลชนิด ดี ต่ำ | 
               
              
                |   | 
                  | 
                ขาดการออกกำลังกาย | 
               
             
            ไขมันโคเลสเตอรอลกับโรคหัวใจขาดเลือด
              ในร่างกายของคนเรา   มีไขมันหลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่
 
            
              
                |   | 
                  | 
                ไขมันโคเลสเตอรอลเป็นไขมันที่มีประโยชน์เป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมอง แต่หากมีไขมันโคเลสเตอรอลมากเกินไป   ไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย เช่น หลอดเลือดสมอง   หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดที่ไต ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะเพศ เมื่อการตีบตันของหลอดเลือด   ก็ทำให้อวัยวะนี้ขาดเลือดไปเลี้ยง
              เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น   อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ รวมไปถึงการหย่อยสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย   เรายังอาจแบ่งไขมันโคเลสเตอรอล ได้ย่อยๆ อีก ที่สำคัญ 2 ชนิด คือ | 
               
              
                |   | 
                 | 
                1. | 
                โคเลสเตอรอล ชนิดร้าย หรือ แอล-ดี-แอล (Low Density Lipoprotein Cholesterol,   LDL-C) เป็นตัวที่มีบทบาทสำคัญในการสะสมในผนังของหลอดเลือดแดง   ไขมันชนิดนี้ร่างการสร้างขึ้นเองส่วนหนึ่ง และมาจากอาหารที่มีไขมันสูง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันจากสัตว์ | 
               
              
                |   | 
                 | 
                2. | 
                โคเลสเตอรอล ชนิดดี หรือ เอช-ดี-แอล   (High Density Lipoprotein Cholesterol, HDL-C)   ไขมันชนิดนี้จะช่วยในการขนถ่ายโคเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ออกมาทำลายจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจหลอดเลือด   ดังนั้นหากยิ่งสูงจะยิ่งเป็นผลดี ไขมันนี้ร่างกายสร้างขึ้นเอง   และจะสูงขึ้นในผู้ที่ออกกำลังแบบแอโรบิค อย่างสม่ำเสมอ | 
               
              
                |   | 
                  | 
                ไขมันไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่มาจากอาหารร่วมกับร่างกายสร้างขึ้นที่ตับ   ไตรกลีเซอไรด์เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย โดยอาหารพวกแป้งและน้ำตาล   รวมทั้งโปรตีนที่เหลือใช้ จะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์   และถูกเก็บสะสมไว้ที่ชั้นไขมัน เพื่อเป้นพลังงานสำรอง   ไขมันชนิดนี้ปัจจุบันมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเช่นกัน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีระดับ เอช-ดี-แอล   โคเลสเตอรอลต่ำ  | 
               
             
ไขมันสูง สูงเท่าไร   จึงเป็นอันตราย 
   
        
      เป็นคำถามที่ได้ยินเสมอว่า สูงขนาดไหน   จึงเป็นอันตราย ต้องเข้าใจก่อนว่า ความจริงแล้วตัวไขมันในเลือดที่สูงนั้น   ไม่ได้ทำให้เกิดอาการ อาการต่างๆ เป็นผลมาจากการตีบตันของหลอดเลือดแดง   ซึ่งต้องอาศัยเวลาหลายปี การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดแดงนี้   เริ่มพบตั้งแต่ในวัยรุ่นแล้ว   ผู้ที่เสียชีวิตกะทันหันก็ไม่ได้เกิดจากไขมันลอยไปอุดตันหลอดเลือด   จากข้อมูลการศึกษาต่างๆ พบว่าระดับไขมัน   โคเลสเตอรอลมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดแน่นอน และหากไขมันโคเลสเตอรอล   (รวม) มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อัตราเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นมาก   จากข้อมูลต่างๆ จึงกำหนดค่าของไขมันในเลือดไว้ดังนี้ 
      
        
          
            | โคเลสเตอรอล (รวม) (Total Cholesterol) | 
           
          
            | ระดับที่เหมาะสม   น้อยกว่า | 
            200   มก.ต่อดล. | 
           
          
            | เริ่มสูง   คือ | 
            200-239   มก.ต่อดล. | 
           
          
            | สูงคือมากกว่า  | 
            240   มก.ต่อดล. | 
           
          
            |   | 
              | 
           
          
            แอล-ดี-แอล   โคเลสเตอรอล (LDL-Cholesterol)  | 
           
          
            | ระดับที่เหมาะสม   น้อยกว่า  | 
            130   มก.ต่อดล. | 
           
          
            | เริ่มสูง คือ  | 
            130-160   มก.ต่อดล. | 
           
          
            | สูง คือ มากกว่า  | 
            160   มก.ต่อดล. | 
           
          
            | สูงมาก คือ   มากกว่า | 
            190   มก.ต่อดล. | 
           
          
            |   | 
              | 
           
        
       
       
      สำหรับ แอล-ดี-แอล โคเลสเตอรอล ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด หรือเป็นเบาหวาน   ควรให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 มก.ต่อดล.   จะช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนทางหลอดเลือดลงได้      
      เอช-ดี-แอล   โคเลสเตอรอล (HDL-Cholesterol) 
         
        ระดับที่เหมาะสม มากกว่า 40 มก.ต่อดล. 
        สูง   (เป็นผลดี) มากกว่า 60 มก.ต่อดล. 
      ไตรกลีเซอไรด์   (Triglycerides) 
         
        ระดับเหมาะสม น้อยกว่า 150 มก.ต่อดล. 
      เราจะป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อย่างไร 
         
        โรคหัวใจขาดเลือดเกิดจากหลายปัจจัย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสื่อมตามอายุจึงไม่สามารถป้องกันโรคนี้ได้ 100%   แต่จากการศึกษาต่างๆ ล้วนยืนยันว่า การลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ลง   สามารถช่วยชะลอการดำเนินโรค และช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนทางหลอดเลือดลงได้แน่นอน   ตัวอย่างเช่น 
      
        
          |   | 
            | 
          เลิกบุหรี่ ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี   โอกาสเสี่ยงที่เคยมีจะลดลง จนใกล้เคียงผู้ที่ไม่สูบบุหรี่   ยังช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งปอด และถุงลมโป่งพองอีกด้วย | 
         
        
          |   | 
            | 
          ตรวจเลือดเพื่อหาระดับไขมันในเลือดอย่างละเอียด หากพบว่าไขมันสูงมากกว่าคำที่แนะนำ   ให้ควบคุมอาหารโดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันจากสัตว์   ร่วมกับการออกกำลังกาย หากไม่ได้ผลควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยา   ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเร็วขึ้น จากการศึกษาพบว่า   หากลดไขมันโคเลสเตอรอลลง 1% สามารถลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดได้ 2%   สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือดเกิดขึ้นแล้ว การลดไขมันโคเลสเตอรอลลงมาต่ำมากๆ เช่น   แอล-ดี-แอล ต่ำกว่า 100 มก.ต่อดล. จะช่วยลดโอกาสเกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันซ้ำ   รวมทั้งปัญหาแทรกซ้อนจากหลอดเลือดสมองตีบลงได้ | 
         
        
          |   | 
            | 
          หากมีความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน   ท่านจำเป็นต้องควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่สุด | 
         
        
          |   | 
            | 
          ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ   ขี่จักรยาน อย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนักแล้ว   ยังทำให้ไขมัน เอช-ดี-แอล โคเลสเตอรอลสูงขึ้นด้วย   ซึ่งเป็นผลดีต่อหัวใจ | 
         
        
          |   | 
            | 
           ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้ผ่องใส   ไม่เครียด | 
         
       
      บทสรุป 
         
      ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน   ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคหัวใจขาดเลือดแพงมาก   การป้องกันโรคเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าการรักษา   โรคหัวใจขาดเลือดมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ บางปัจจัยไม่สามาระเปลี่ยนแปลงได้ เช่น   อายุ เพศ พันธุกรรม แต่หลายปัจจัยสามารถเปลี่ยนแปลงได้   โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ไม่สูบบุหรี่   หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยชะลอ หรือลดปัญหาแทรกซ้อนจากโรคหัวใจลงได้   ดังนั้นหากท่าน รักหัวใจของท่าน หรือของคนข้างเคียง กรุณาใส่ใจโคเลสเตอรอลสักนิด   ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้    
       |